การได้ดูแลพระอาพาธหนักติดเตียงและระยะท้ายมาเกือบ ๕ ปี เราพบว่าการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อชีวิตช่วงสุดท้าย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

พระหลายรูปที่มาสันติภาวันแรกๆ ท่านมักพูดไปในทำนองเดียวกันว่า พอแล้ว ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่มีอะไรห่วง อุ่นใจที่ได้มาอยู่ที่นี่ ถึงเวลาก็พร้อมที่จะทิ้งร่างนี้ไป

แต่เมื่ออยู่ไปสักพัก ไม่ว่าท่านจะมีอาการดีขึ้น ทรุดลง หรือว่าทรงตัวก็ตาม หลายท่านมีท่าทีเปลี่ยนไป โดยเฉพาะท่านที่ยังพอมีทางเลือก เช่น มีญาติพี่น้อง คนรู้จัก มีทรัพย์สิน หรือมีความหวังเมื่ออาการดีขึ้น
โดยจะเริ่มเปรยให้เราได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ เช่น คิดถึงลูก อยากโอนเงินให้หลาน ห่วงข้าวของในกุฎิ ห่วงหมาแมวที่เคยเลี้ยงที่วัด อยากไปรักษาที่โน่นที่นี่ ฯลฯ

เมื่อได้ยินการเปรยเช่นนี้ สิ่งแรกที่ทำคือ สำรวจว่าเราดูแลส่วนไหนบกพร่อง ที่อาจทำให้ท่านไม่สบาย อึดอัดใจจนไม่อยากอยู่หรือเปล่า

เมื่อมั่นใจว่าการดูแลไม่บกพร่อง ก็ต้องค่อยๆ ชวนพูดคุย หาสาเหตุว่าทำไมท่านจึงรู้สึกเช่นนั้นอย่างไม่รีบร้อน บางท่านความรู้สึกเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน วานนี้บ่นอยากกลับ เช้าอีกวันบอกอยู่ที่นี่สบายที่สุด

หากพบว่าท่านมีความกังวลจริง ก็จะช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสม มองถึงถึงความเป็นไปได้ต่างๆ อาจติดต่อญาติให้มาเยี่ยม ให้ส่งของที่ท่านต้องการมา ให้โทรศัพท์หรือวิดีโอคอลล์พูดคุยกับคนที่ท่านคิดถึง ให้ทางวัดให้ช่วยตรวจสอบจัดการทรัพย์สินของท่าน หรืออาจจบที่การพาท่านไปส่งวัด ให้ญาติมารับท่านกลับก็เป็นได้

หลายท่านอาจรู้สึกว่าตอนนี้ตนพร้อมแล้วในการรับมือกับความตาย แต่ใครจะรู้ เมื่อสถานการณ์นั้นใกล้มาถึงจริง เราอาจจะสติแตกเหมือนไม่เคยเตรียมตัวมาก่อน

เพราะมีเหตุปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งจากผู้คนหลากหลายที่รายรอบ จากอาการของโรค ผลข้างเคียงจากยา หรือเทคนิคการรักษาตอนนั้น และจากจิตใจตนเองที่คิดว่าเตรียมไว้ดี แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นตอนซ้อม

เคยมีครูบาอาจารย์บางรูป ท่านได้เตรียมของท่านอย่างดี ลูกศิษย์ที่ดูแลก็เตรียมพร้อมอย่างลงตัว ว่าจะดูแลอย่างไรเมื่ออาการทรุดหนัก ญาติพี่น้องของท่านและโยมที่วัดต่างก็เข้าใจตรงกัน

แต่พออาการทรุดลงจริงๆ พระผู้ใหญ่ทรงบารมีมาเยี่ยม แผนที่เตรียมไว้ก็พังทลาย ถูกสั่งให้พาส่งโรงพยาบาลในทันที ปล่อยท่านนอนไม่รู้สึกตัวอยู่นับเดือนจนมรณภาพ โดยพระผู้ใหญ่รูปนั้นก็ไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลย

การเตรียมตัวก่อนตาย แม้อาจไม่ได้ผลอย่างที่หวัง แต่ก็ยังดีกว่าการไม่เตรียมตัวไว้เลย ยิ่งถ้าตระหนักว่าช่วงใกล้ตายมีความไม่แน่นอนสูง ยิ่งทำให้เราต้องเตรียมตัวให้รัดกุมมากขึ้น รวมทั้งต้องเตรียมเผื่อใจ เมื่อแผนที่วางไว้ไม่เป็นดังหวังด้วย

ในด้านของผู้ดูแล ก็ต้องพร้อมรับสิ่งที่ไม่คาดหวัง ที่อาจเกิดขึ้นทั้งจากตัวผู้ป่วย และสถานการณ์รอบข้างอยู่เสมอ

การช่วยให้ความปรารถนาสุดท้ายที่แท้จริงของผู้ป่วยได้รับการตอบสนอง ถือเป็นภารกิจหลักอย่างหนึ่งที่ผู้ดูแลต้องพร้อมทำอย่างเต็มกำลัง