เกือบสองเดือนก่อน มีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งเขียนมาในกล่องข้อความถึงสันติภาวัน เธอว่าอยากขอกำลังใจและปรึกษาว่าควรทำอย่างไรกับพระน้องชาย ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติเป็นหนองที่กระดูกสันหลัง ตับวาย ไตวาย ถ่ายเป็นเลือดไม่หยุด อยากให้ท่านจากไปด้วยความสงบ ทรมานน้อยที่สุด พร้อมทั้งแนบภาพพระน้องชายบนเตียงโรงพยาบาล ในสภาพผอม เหลือง พร้อมด้วยสายระโยงระยาง

ต้นเดือนนี้เธอส่งข้อความมาอีกครั้งว่า “พระน้องรอดตายค่ะ…” พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวการเจ็บป่วยของพระว่า ท่านสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่ก่อนบวช มีโรคประจำตัวทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต และเคยผ่าตัดหนองที่เยื่อหุ้มปอด พอมีโอกาสบวชหน้าไฟให้แม่เมื่อ ๘ ปีก่อน เลยไม่สึก ช่วยเดินไฟฟ้าและงานอื่นๆ ที่วัดตลอดมา

เธอเล่าต่อว่า ๓ ปีมานี้ โรครุมเร้าพระน้องมากขึ้น ต้องผ่าตัดฝีฝักบัวที่ก้นถึง ๓ ครั้ง เริ่มคุมปัสสาวะไม่ได้ เพราะมีเนื้องอกที่ต่อมลูกหมาก น้ำตาลในเลือดสูง เส้นเลือดสมองตีบจนเป็นอัมพฤกษ์ซีกขวา ต้องกลับมาพักฟื้นที่บ้าน เมื่อดีขึ้นก็กลับไปอยู่วัด พอทรุดลงก็จะกลับมาให้ที่บ้านดูแลเป็นระยะๆ

ต้นปีนี้มีอาการเจ็บหน้าอก แพทย์วินิจฉัยว่าเส้นเลือดหัวใจตีบ แต่ร่างกายอ่อนแอและมีอาการแทรกซ้อนจนให้การรักษาต่อไม่ได้ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นระยะ ปลายเดือนกรกฎาคมมีอาการปวดหลังมาก ได้รับการฟอกไตฉุกเฉิน และพบว่ามีหนองที่กระดูกสันหลัง แพทย์คาดว่าจะเป็นวัณโรคแต่เมื่อเริ่มฉันยาก็แพ้ยาจนโคม่า (จนได้เขียนมาขอกำลังใจข้างต้น)

หลังจากอยู่โรงพยาบาลกว่า ๒ เดือน กลับมาพักฟื้นที่บ้านครั้งนี้จึงอยู่ในสภาพติดเตียง ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และต้องไปฟอกไตที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ระยะหลังมานี้พระเริ่มบอกว่าไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกแล้ว ทั้งเจ็บปวดตอนเคลื่อนย้าย ร่ายกายก็อ่อนล้าลง และคงสงสารโยมพี่ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกและดูแลท่านอยู่ตลอด จนทำงานประจำไม่ได้
เมื่อพระโอภาส (นามสมมติ) มีโอกาสรู้จักสันติภาวันจากโยมพี่สาว จึงอยากมาใช้ชีวิตสงบๆ ในช่วงท้ายที่สันติภาวัน เมื่อเราไม่ขัดข้องก็เตรียมตัวเดินทางกันทันที พร้อมทั้งกำชับโยมพี่สาวว่าไม่ต้องนำยาทั้งหมดติดมาด้วย

บ่ายวานนี้ (๑๖ ต.ค.) เราจึงมีสมาชิกใหม่วัย ๔๔ ปี พรรษา ๘ อีก ๑ รูป เข้ามาอยู่ด้วยกันที่สันติภาวัน ท่านมาให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมแห่งชีวิต ได้ทำบุญใหญ่ประคับประคองกายใจ เตรียมส่งท่านเดินทางไกลให้สมกับเป็นพุทธบุตรต่อไป