ช่วงใกล้ออกพรรษา งานดูแลพระอาพาธที่พวกเราช่วยกันทำมาอย่างลงตัว มีอันต้องตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เพราะเริ่มมีวี่แววว่าสมาชิกจะต้องเดินทางไปทำกิจต่างๆ ทำให้ต้องวางแผนว่าจะอยู่กันอย่างไรหากขาดท่านใดท่านหนึ่งไป การรับหลวงพี่โอภาส (นามสมมติ) ซึ่งเจ็บป่วยซับซ้อนหลายโรคเข้ามาดูแล ก็มีส่วนทำให้งานที่ดูเหมือนจำเจของเราดูท้าทายขึ้น
แต่ขณะที่กำลังตื่นตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ นี้ หลวงพ่อสมคิด (นามสมมติ) ที่เราดูแลท่านอย่างราบรื่นมาเกือบครึ่งปีก็เริ่มฉันอาหารได้น้อยลง

การเบื่ออาหารของผู้ป่วยติดเตียงเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่คราวนี้เราเปลี่ยนรสชาติอาหารก็แล้ว เปลี่ยนสถานที่ฉันก็แล้ว เปลี่ยนคนป้อนอาหารก็แล้ว ดูจะไม่ช่วยให้หลวงพ่อฉันได้เพิ่มขึ้นเลย แถมยังก้มหน้า หลับ อม บ้วนทิ้ง หรือแม้แต่พ่นใส่คนป้อนก็ยังเคยทำ นมและน้ำท่านก็ฉันน้อยมาก

เราได้คุยเรื่องนี้กับพี่ชายซึ่งเป็นญาติคนเดียวของท่านด้วย ถึงแม้จะแวะมาเยี่ยมและป้อนด้วยตัวเอง ท่านก็ฉันได้ไม่มาก เราได้ปรึกษากันถึงสถานการณ์ที่อาจแย่ลงยิ่งกว่านี้ และตกลงกันว่าจะไม่ฝืนใส่สายอาหารที่เหมือนบังคับให้ท่านต้องฉัน (หลวงพ่อมีปัญหาทางสมอง/การพูด จึงไม่สามารถคุยเรื่องนี้กับท่านได้โดยตรง)

ประมาณ ๑๐ วันมานี้ ท่านแทบฉันอะไรไม่ได้เลย เราเองต้องพบกับความลำบากใจทั้งที่ได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว เหมือนกับว่าเราคือผู้กุมชีวิตของท่านไว้ เพราะหากป้อนอาหารทางสายได้ท่านก็น่าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป แต่ถ้าไม่ ชีวิตก็จะสิ้นสุดลงในเวลากันใกล้นี้ ในที่สุดเราก็ได้ขอให้บุรุษพยาบาลจิตอาสาของเราช่วยใส่สายอาหารให้ท่าน

คงจะเป็นบุญของท่านและเป็นความโล่งใจของเรา ที่การใส่สายอาหารไม่สำเร็จ เพราะนอกจากท่านจะต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์แล้ว การใส่ก็ติดขัดสายลงสู่กระเพราะอาหารไม่ได้ ในที่สุดเราจึงกราบขอขมาท่าน และเตรียมให้ท่านเข้าสู่วาระสุดท้ายอย่างสมบูรณ์

สัปดาห์นี้ท่านใช้เวลาแทบทั้งหมดอยู่บนเตียง ลืมตาและขยับมือซ้ายบ้างเล็กน้อย (ร่างกายซีกขวาท่านอ่อนแรงมานาน) หน้าตามิได้แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ แต่มีไข้และหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราเพียงเช็ดตัวท่านบ่อยๆ

ในขณะที่พวกเราง่วนดูแลแก้ปัญหาให้หลวงพี่โอภาสที่ดูว่าท่านพร้อมจะจากเราไปทุกเมื่อ กลางดึกคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาหลวงพ่อสมคิดก็จากพวกเราไปก่อนอย่างสงบ เรียบง่าย มิได้ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่เราเปิดคลอไว้เบาๆ ข้างเตียงท่าน (แน่นอนว่าเรามีโอกาสคุย (ฝ่ายเดียว) กับท่านในเรื่องความตายมาเป็นระยะอยู่แล้ว)

งานศพของท่านจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามแบบของสันติภาวันในบ่ายวันรุ่งขึ้น โดยพี่ชายได้มาทันร่วมส่งร่างท่านในโอกาสนี้พอดี หลวงพ่อสมคิดบอกเราว่าความตายนั้นจะเกิดขึ้นเวลาไหนยากที่จะคาดเดาได้ นอกจากสภาพร่างกายแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยอีกมากที่เราไม่อาจรับรู้ การเตรียมพร้อมน้อมรับความตายอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกไว้

ขอน้อมนำบุญกุศลทั้งหลายที่เราได้ทำมา ถวายหลวงพ่อสมคิดส่งท่านสู่สุคติภูมิอย่างสง่างาม สมกับเป็นสมณะศิษย์ของพระตถาคตจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตนี้