ต้นเดือนก่อนมีพระรูปหนึ่งโทรศัพท์มาหาเราพูดสั้นๆ เพียงว่า “อาจารย์ พอมีที่ให้ผมอยู่มั้ย ผมเป็นมะเร็งถุงน้ำดีระยะสุดท้าย หมอว่ารักษาไม่ได้แล้ว” เมื่อทราบว่าเป็นพระอาพาธระยะท้าย เราตอบรับอย่างแข็งขันทันที

ก่อนสงกรานต์ท่านติดต่อมาอีกครั้ง บอกว่าตอนนี้กำลังรอหมอผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำดีออก เสร็จแล้วเขาก็จะให้กลับได้ ท่านว่าอยากจะไปรับยาสมุนไพรที่นครสวรรค์มาให้ช่วยต้มให้ฉันด้วยพอจะได้ไหม ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเรา

อย่างไรก็ตาม ๒ วันก่อนเดินทางมา ท่านติดต่อมาอีกครั้งว่าหมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว พรุ่งนี้จะนั่งรถโดยสารไปสันติภาวันเลย ไม่ไปรับยาสมุนไพรแล้ว โดยท่านยืนยันหนักแน่นว่าเดินทางมาเองได้

ท่านมาถึงสายๆ ของอีกวัน ด้วยร่างกายที่แทบเรียกได้ว่าหมดสภาพ ท่านดูผอมแห้ง อ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าพยายามทรงตัวเดินให้ตรง แต่ใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยร้อยยิ้มโชว์ฟันขาวตัดกับสีผิวที่ดำคล้ำกว่าคนทั่วไป มีย่ามใส่ยาของโรงพยาบาล และถุงหูหิ้วใส่อุปกรณ์ทำแผลที่เพิ่งซื้อจากร้านยาที่ตลาดติดมาด้วย

หลังจากกราบถวายความเคารพทักทายกันตามวิถีพระแล้ว เรารีบพาท่านไปยังเตียงที่จัดรอไว้ เช็ดหน้า เช็ดตัว จัดอาหารให้ฉันรองท้อง แล้วปล่อยให้ท่านพักผ่อนยาว

หลวงพี่วิรัตน์ (นามสมมุติ) เล่าประวัติให้ฟังว่า ท่านบวชเณรมาตั้งแต่อายุ ๑๓ ตอนนี้ ๔๙ ปีแล้ว หลังจากบวชพระศึกษาจบนักธรรมเอกพอมีพื้นฐานความรู้ในพุทธศาสนา ประกอบกับท่องพระปาติโมกข์ได้ด้วย ท่านได้ใช้ชีวิตโลดแล่นเรียนรู้หาประสบการณ์ ตระเวนช่วยครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง พัฒนาวัด จัดปริวาสกรรมไปทั่ว โดยมิได้คิดว่าจะปักหลักอยู่ที่ใดนาน ท่านว่าแถวสอยดาวนี้ท่านก็เคยแวะมาเที่ยวมาอยู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ที่ผ่านมาสุขภาพของท่านโดยรวมไม่มีปัญหาใดๆ แต่ช่วง ๖-๗ ปีหลังมานี้ เกิดมีตุ่มคันมีน้ำเหลืองขึ้นที่เท้าทั้งสองข้าง ในบางช่วงลามไปจนถึงข้อเท้า และหัวเข่า หมอบอกว่าเป็นเชื้อราแต่รักษาอย่างไรก็ไม่หายขาด ทำให้มีทุกข์เวทนาพอควร อาการเพิ่งทุเลาลงมากเมื่อต้นปีนี้เอง

ท่านเล่าต่อว่า ก่อนออกพรรษาเริ่มรู้สึกเบื่ออาหาร และมีอาการอื่นๆ เพิ่มขึ้น ปวดท้อง ตัวเริ่มเหลือง และคันตามผิวหนัง ไปตรวจที่โรงพยาบาลสงฆ์พบว่ามีก้อนมะเร็งที่ถุงน้ำดี ถูกส่งตัวไปตรวจรักษาต่อตามสิทธิ์ ที่โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่ง หลังจากตรวจโดยละเอียดหมอแจ้งว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปที่ตับ ปอด และต่อมน้ำเหลืองแล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน

ท่านว่าช่วงที่สุขภาพยังดี ทำงานได้ ไม่เคยนึกถึงเลยว่า ถ้าเจ็บป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะอยู่อย่างไร ตอนที่อยู่ภาคใต้ก็เคยเห็นคนนำพระป่วยติดเตียงมาทิ้งไว้ที่วัด แวะมาดูอยู่ ๒-๓ ครั้ง แล้วไม่มาอีกเลย แต่ก็ยังไม่ได้ย้อนคิดถึงอนาคตตัวเอง

ถ้าไม่ได้มาที่สันติภาวัน ท่านว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่อย่างไร จะมีใครทำแผล จัดข้าวหายามาให้ฉัน ท่านว่ามาถึงที่นี่ได้ก็ไม่มีห่วงอะไรแล้ว ท่านไม่มีภาระอะไร จะตายก็ตาย บอกน้องสาวไว้แล้วว่าอยู่ที่สันติภาวัน เขาจะมาได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่เขา ส่วนพี่สาวอีกคนก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว

ในช่วงนี้สิ่งที่พวกเราพอทำได้ นอกเหนือจากการดูแลร่างกายท่านแล้ว คือคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย พยายามชี้แง่มุมดีๆ ให้ท่านเห็น มองว่าเป็นบุญที่เราได้มารู้จักได้ดูแลกัน แม้ท่านจะมีโรคร้าย แต่ก็ไม่ใช่อวัยวะที่ทำให้เจ็บปวดทรมานมากนัก สติปัญญาของท่านตอนนี้ก็ยังสมบูรณ์พร้อมที่จะพัฒนาในทางธรรมต่อได้

แม้ร่างกายท่านจะดูอ่อนล้า ฉันอาหารได้น้อย และมีทีท่ากังวลอยู่บ้างกับแผลซึ่งมีน้ำดีซึมออกมาเปื้อนผ้าก๊อซ แต่โดยรวมท่านก็ดูสงบ เข้าใจสถานการณ์ ไม่ซึม ไม่โศก ไม่เรียกร้องอะไร พยายามทำกิจวัตรต่างๆ ด้วยตัวเอง

เราอยู่กับท่านแบบวันต่อวัน ขณะต่อขณะ เตือนท่านเป็นระยะว่า ต่อไปอาจมีช่วงเวลาที่เบลอ หรือซึมไป สิ่งที่ทำได้คือใช้เวลาตอนนี้ทำใจให้ดีให้เป็นกุศลที่สุด ท่านพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ แต่จะทำได้แต่ไหนคงอยู่ที่บุญกรรมที่สั่งสมมา และความเพียรของท่าน

เราผู้ดูแลก็ได้แต่ย้อนกลับมาพิจารณาตน ตอนนี้เราอาจพูดให้คำแนะนำท่านได้ แต่ถ้าเราคือคนใกล้ตายอยู่บนเตียง เรามั่นใจเพียงใดว่าจะทำได้แบบที่แนะนำท่าน ว่าแล้วก็น้อมธรรมที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มาพิจารณาเป็นเครื่องกระตุ้นให้เร่งปฏิบัติพัฒนาตนเองต่อไป เพราะที่พึ่งสุดท้าย คือใจเราเอง