ก่อนสิ้นปีไม่กี่วันมีพระเถระจากวัดย่านฝั่งธนรูปหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมพวกเราที่สันติภาวัน ท่านอายุ ๖๔ ปี แต่เพราะมีโรคประจำตัวอยู่หลายโรค รวมทั้งพาร์กินสันที่ส่งผลต่อการเดินการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ท่านดูชราเกินวัยไปบ้าง ท่านบอกว่าจะแวะมาหาพระเพื่อนกันที่อำเภอถัดไป เลยถือโอกาสแวะเยี่ยมชมการทำงานของพวกเราที่นี่ พร้อมทั้งได้ถวายปัจจัยไว้ช่วยเกื้อหนุนการทำงานดูแลพระอาพาธที่สันติภาวันด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อได้พูดคุยกันจนคุ้นเคยมากขึ้นแล้ว จึงทราบเป้าหมายที่แท้จริงว่า ท่านตั้งใจมาหาเราเพื่อดูลาดเลาว่าบรรยากาศที่นี่เป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะรับให้ท่านเข้าพักในช่วงท้ายของชีวิตหรือไม่

หลวงพ่อเล่าให้ฟังช่วงหนึ่งว่าท่านรู้สึกร้อนใจ จนต้องแวะมาหาเราเพราะสัปดาห์ก่อนหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียกประชุมพระทั้งวัด แล้วแจ้งว่าพระที่สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวรุนแรง ให้ติดต่อกับญาติหรือหาที่อยู่ไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อรับไปดูแลยามป่วยหนัก วัดไม่มีนโยบายดูแลพระที่อาพาธเจ็บป่วยเรื้องรัง

ท่านว่าฟังแล้วโดนตัวเองเข้าเต็มๆ รู้สึกเคว้งคว้างมาก แม้ตัวท่านจะไม่มีปัญหาเรื่องเงินทองเพราะเคยรับราชการมาก่อนและพอมีมรดกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดเหลืออยู่เลย พี่ชายคนเดียวก็เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน สุขภาพตนเองก็มีแต่จะแย่ลงทุกวัน จึงเหมือนถูกบีบให้ต้องเร่งหาที่พักพิงก่อนที่จะมีอาการแย่ลงไปกว่านี้

นโยบายนี้แม้จะพอมีข้อดีอยู่บ้าง คือช่วยให้พระแต่ละรูปเตรียมตัววางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ว่าจะอยู่อย่างไรเมื่อชราหรืออาพาธหนัก แต่ผลเสียนั้นดูจะเห็นได้ง่ายและมีมากมายหลายด้าน

เริ่มตั้งแต่เป็นนโยบายที่ขัดต่อพระธรรมวินัย แค่พรหมวิหารธรรมและสังคหวัตถุ ๔ อันเป็นธรรมะพื้นๆ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข ที่พระพร่ำสอนให้ญาติโยมนำไปใช้ในครอบครัว ทางวัดก็ยังทำไม่ได้ แล้วข้อธรรมะและการปฏิบัติที่ลึกซึ้งกว่านี้โยมจะเชื่อฟังพระต่อไปอย่างไร ยังมิต้องกล่าวถึงส่วนพระวินัยที่เมื่ออุปัชฌาย์-อาจารย์ปฏิเสธการดูแลสัทธิวิหาริก (พระที่ตนบวชให้) หรืออันเตวาสิก (ศิษย์ที่ตนดูแลสั่งสอน) ถือได้ว่าเป็นการปฏิเสธพุทธประสงค์อย่างชัดเจน และทำให้เกิดอาบัติกับตนด้วย

นโยบายนี้นอกจากมีผลกระทบต่อพระชรา/อาพาธแล้ว ยังมีพลังผลักไสพระที่ตั้งใจทำงานให้วัดให้พระศาสนาไปให้พ้นจากวัดนี้ แสวงหาวัดอื่นหรืออาจถึงขั้นสถานภาพอื่นที่ให้ความมั่นคงต่อชีวิตได้มากกว่า พระที่ยังเหลือก็อยู่เพราะความจำเป็น หรือเท่าที่ตนจะหาประโยชน์จากวัดได้เท่านั้น ที่จะมาใหม่เมื่อทราบนโยบายนี้ก็คงปลีกตัวไปอยู่วัดอื่น จึงเป็นนโยบายที่บั่นทอนศักยภาพของวัดและพระศาสนาอย่างยิ่ง

เรื่องนี้ยังส่งผลกระทบกลับมายังตัวเจ้าอาวาสเองด้วย เพราะวันหนึ่งท่านก็ต้องชราและอาพาธจนอาจต้องพึ่งพิงพระรูปอื่นในวัด ในเมื่อท่านไม่คิดช่วยเหลือดูแลพระลูกวัดที่อาพาธ ไม่มีระบบการดูแลพระอาพาธที่ชัดเจนของวัด ท่านก็คงหวังหาพระที่มีใจอยากช่วยอุปัฏฐากท่านได้ยาก

ในทางปฏิบัติจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกวัดควรรับผิดชอบดูแลพระอาพาธในวัดของคน แม้วัดนั้นจะมีพระอยู่เพียงรูปเดียว หรือมีแต่พระชราอยู่กันเพียง ๒ รูปก็ทำได้ เพราะชาวบ้านในชุมชนพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือดูแลพระและวัดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ไว้ก่อน พูดคุยย้ำกับญาติโยมอยู่เรื่อยๆ ว่าเรื่องการดูแลกันนี้สำคัญต่อพระศาสนาอย่างไร ยามญาติโยมป่วยไข้พระก็จะต้องไม่ทอดทิ้ง ทำให้เห็นว่าความกรุณาต่อผู้ที่เดือดร้อนนั้นคือคุณธรรมพื้นฐานของชาวพุทธอย่างแท้จริง

การดูแลพระชรา/อาพาธยังเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่ได้ซึมซับหน้าที่อันพึงมีต่อบุพการีด้วย ต่อไปวัดอาจอาสาทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในชุมชนก็ได้ เป็นจุดที่พลิกบทบาทของวัดให้กลับมาใกล้ชิดชุมชน ให้พระนำธรรมะกลับเข้าหาผู้คนได้อีกครั้ง

หลวงพ่อที่มาคุยกับเราในวันนั้น ผิดหวังกลับไปเล็กน้อยเมื่อเราปฏิเสธท่านไปว่า สถานการณ์ตอนนี้หลวงพ่อยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เราจะรับไว้ดูแลได้ ท่านเองหากมาอยู่ที่สันติภาวันตอนนี้ก็จะห่างไกลจากญาติโยมที่คุ้นเคย ไกลโรงพยาบาลที่ยังต้องไปพบแพทย์ประจำ กิจกรรมที่ยังทำร่วมกับโยมอยู่ก็ทำไม่ได้ อยู่ไประยะหนึ่งชีวิตจะเริ่มน่าเบื่อ

แต่เราก็ได้ให้ความหวังกับท่านว่า เมื่อใดที่ท่านอาการทรุดลงถึงขนาดติดเตียงต้องการคนดูแลใกล้ชิด เรายินดีที่จะได้ดูแลท่านในช่วงเวลานั้น

ก่อนจะถึงเวลานั้นเจ้าอาวาสท่านอาจฉุกคิดได้ เปลี่ยนนโยบายหันมาดูแลพระชรา/อาพาธอย่างจริงจังก็เป็นได้