ไม่กี่วันมานี้ เราได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากโยมทางภาคใต้ท่านหนึ่ง แนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนของญาติโยมที่วัด ต้องการทราบว่าสันติภาวันจะพอรับหลวงพ่อของพวกเขาไปดูแลได้หรือไม่ ท่านเส้นเลือดสมองตีบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาได้พยายามติดต่อกลับไปหาญาติของท่านทางภาคอีสานแล้วแต่ญาติไม่ยอมรับกลับ

ผมตกใจมากเลยครับพระอาจารย์ เขาพูดชัดเลยว่าไม่ต้องส่งมา ทางนี้ไม่มีใครเอาแล้ว ๑๐, ๒๐ ปีไม่เคยช่วยเหลือพี่น้อง ตอนนี้จะมาให้ดูแลยังไง

โยมแสดงถึงความน่าเห็นใจและสถานะที่ยากลำบากของหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านมีเงินเก็บอยู่หลายหมื่นครับ ถ้ารับไปดูแล พวกผมจะถวายให้ทางมูลนิธิฯ ทั้งหมด ขออย่างเดียว อย่าแบ่งไปให้ทางญาติท่านนะครับ

โยมแสดงถึงความน่าเห็นใจและสถานะที่ยากลำบากของหลวงพ่อ

ก่อนที่จะไปถึงขั้นรับมาดูแลได้หรือไม่ เราได้ชวนโยมให้กลับมาพูดถึงเรื่องราวของหลวงพ่อกันก่อน ว่าท่านอยู่อย่างไร และสภาพการเจ็บป่วยอาพาธของท่านเป็นอย่างไร

โยมบอกว่าหลวงพ่อท่านบวชจากทางอีสาน มาอาศัยอยู่กับพวกเขากว่า ๒๐ ปีแล้ว ท่านมาช่วยงานในวัดคุ้นเคยเข้ากับชาวบ้านได้ดี เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน ท่านเหมือนจะหมดสติไป โรงพยาบาลบอกว่าเป็นเส้นเลือดในสมองตีบแขนขาอ่อนแรง แต่พ้นขีดอันตรายแล้วจึงจะให้กลับมาพักฟื้นที่วัด ซึ่งชาวบ้านกังวลว่าจะไม่สามารถดูแลท่านได้เพราะทุกคนมีภาระ เมื่อฝ่ายญาติท่านปฏิเสธ จึงมีคนแนะนำให้ลองสอบถามมาที่สันติภาวัน

เมื่อเราสอบถามรายละเอียดถึงสภาพร่างกายของหลวงพ่อว่าเป็นอย่างไร ทำอะไรได้/ไม่ได้บ้าง โรงพยาบาลให้คำแนะนำอย่างไร ฝ่ายโยมยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน รู้เพียงว่าท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และกำลังกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลท่าน
จึงได้บอกโยมทางปลายสายไปว่า อยากให้ใจเย็นๆ โรคนี้ทำให้พิการได้หลายระดับ ถ้าเพิ่งเป็นบางทียังพอมีโอกาสฟื้นฟูให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ช่วงนี้ก็ยังไม่ออกพรรษาโยมน่าจะรับท่านมาช่วยกันดูแลก่อน แน่นอนว่าคงเป็นภาระยุ่งยากขึ้นบ้าง แต่น่าจะพอผลัดเปลี่ยนกันมาดูท่านบางเวลาได้ ไม่ถึงกับต้องเฝ้าทั้งวัน

เราได้ชวนให้โยมลองนึกถึงความรู้สึกของหลวงพ่อ ท่านอุตสาห์ทิ้งบ้านเรือนพี่น้องมาอยู่พัฒนาวัดกับญาติโยมที่นี่ ๒๐ กว่าปี ท่านคงรักที่นี่และคิดจะฝากผีฝากไข้ฝากชีวิตไว้กับญาติโยมทางนี้ แถมยังมีเงินเก็บไว้เผื่อให้โยมได้ใช้ดูแลท่านอย่างไม่ลำบากด้วย นี่เรายังไม่ทันรู้ชัดเลยว่าต้องดูแลท่านแค่ไหน ก็เตรียมส่งท่านไปอยู่ที่ไหนกับใครที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ท่านรู้เข้าคงเสียใจไม่น้อย

เราเสนอว่า โยมน่าจะช่วยกันดูแลท่าน มองเสียว่ากำลังร่วมกันทำบุญใหญ่ ได้แสดงความกตัญญูตอบแทนท่าน ทำให้ลูกหลานเห็นเป็นตัวอย่าง ใครจะรู้ว่าอนาคตเราจะป่วยแบบนี้หรือเปล่า ถ้าติดขัดมีปัญหาในการดูแลอย่างไรก็โทรมาปรึกษากันได้ ซึ่งโยมก็ยอมรับว่าจะคุยกันอีกที…

ด้วยกฏหมายและสังคมทุกวันนี้เรามักมองว่าญาติคือผู้รับผิดชอบหลักต่อผู้ป่วย เมื่อญาติปฏิเสธการดูแลภาพจึงดูแย่จนน่าตกใจ แต่สำหรับพระผู้สละเรือนออกบวช ทำงานอุทิศตนให้วัดให้ศาสนาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านมีเพียงหมู่สงฆ์และญาติโยมที่ศรัทธาเท่านั้นเป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย

เมื่อพระอาพาธหนักต้องการคนดูแล การปฏิเสธของญาติที่ห่างไกลจึงไม่น่าตกใจเท่ากับพระและโยมวัดนั้นปฏิเสธที่จะดูแลท่าน เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่มีกำหนดในพระวินัย วัดก็ขวักไขว่ด้วยผู้ใจบุญ เป็นที่ปลูกฝังคุณธรรมพร่ำสอนให้คนกตัญญู มีเมตตากรุณา… แล้วจะไม่นำพาต่อพระอาพาธได้อย่างไร