“กรรม” ถือเป็นหลักคำสอนที่เข้ามาเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของเราชาวพุทธมากที่สุดเรื่องหนึ่ง หลายคนเชื่อว่ากรรมจะแสดงผลให้เห็นได้ชัดช่วงใกล้ตาย รวมถึงมีส่วนกำหนดว่าคนนั้นจะตายอย่างไรด้วย เมื่อสันติภาวันดูแลพระอาพาธระยะท้ายไปจนมรณภาพ จึงมีคนอยากรู้ว่า เราเคยเห็นผลของกรรมที่แสดงในช่วงท้ายของชีวิตบ้างไหม 

แน่นอนว่าช่วงเวลาก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้ายของพระอาพาธแต่ละรูปนั้นต่างกันไม่น้อย แต่จะให้บอกว่าเป็นผลของกรรมเก่าของท่านหรือไม่นั้นพูดยาก เพราะพิสูจน์กันไม่ได้ อย่างมากก็พูดได้เพียงว่า “คงเป็นเพราะกรรมของท่าน” หรือ “ท่านคงทำเหตุปัจจัยไว้แบบนี้”

อย่างกรณีของหลวงตาไสว เราก็ดูแลท่านกันตามปกติ อยู่ๆ ท่านก็ไม่ยอมฉันอะไร จิบได้แค่น้ำนิดหน่อย เพียง ๒ วัน ท่านก็สิ้นลมไปเงียบๆ แบบไม่มีอาการผิดปกติอะไรให้ต้องดูแลเพิ่ม จนพระอาพาธเตียงข้างๆ ถึงกับเปรยว่า “ตายกันง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ” 

ในขณะที่บางรูปช่วงมาใหม่ๆ ดูจะวุ่นวายกับเรื่องทางกายมาก ทั้งเจ็บปวด ไม่สบายตัว มีแผลกดทับ อยากฉันนั่นนี่ ต้องวานโยมขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไปซื้อมาให้ในเวลาค่ำ จนเรากังวลไปเองว่า แล้ววันท้ายๆ จะไม่ยิ่งวุ่นวายกว่านี้หรือ 

แต่พอเวลานั้นมาถึงท่านกลับสงบ ของที่เคยชอบเคยฉันก็พลันปฏิเสธ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน ความเจ็บปวด ไม่สบายกาย หงุดหงิดใจ ก็เงียบหายไปด้วย แล้วก็ละสังขารไปอย่างสงบ

แต่ก็มีบางรูปที่เราต้องลุ้นกันทุกเช้าว่าท่านยังหายใจอยู่หรือเปล่า เพราะจากสภาพร่างกายท่านน่าจะหมดแรงหมดลมไปนานแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่กับเราได้เรื่อยๆ

มีอยู่รูปหนึ่งท่านอยู่ในลักษณะที่ว่านี้พร้อมทั้งมีทุกข์เวทนาแสนสาหัส นานไปจากที่เคยคุยกันได้กลับกลายเป็นไม่รู้เรื่อง สติสัมปชัญญะเลือนราง เรื่องเตรียมตัวตายที่คุยกันไว้ก็ไม่รับรู้ แต่ยังพอฉันอาหาร นม น้ำ และยาได้ ซึ่งส่งผลให้ยืดช่วงเวลาแห่งความทรมานของท่านออกไปอีก พอถึงช่วงท้ายท่านเริ่มด้วยการไม่ฉันยา แต่ยังฉันนม/น้ำได้ ยิ่งทำให้ต้องทนกับทุกขเวทนามากขึ้นเพราะขาดยา อยู่ในสภาพที่เราไม่รู้จะช่วยอย่างไร รอไปจนกระทั้งท่านปฏิเสธน้ำและนม ร่างกายจึงสงบลงและสิ้นลมในที่สุด

บางรูปก็มีเหตุให้ไม่สามารถดูแลกันได้จนถึงที่สุด ทั้งๆ ที่ตอนแรกยืนยันอย่างดีว่าจะอยู่ไปจนตาย ได้มาที่สันติภาวันนั้นเป็นบุญ แต่วันดีคืนร้ายเมื่ออาการแย่ลงท่านกลับอยากไปสิ้นลมที่บ้าน (แน่นอนว่าเราไม่ปฏิเสธความปรารถนาสุดท้ายของท่าน) แต่ไปได้ไม่กี่วันอาการท่านทรุดหนักลง ญาติกลัว (ทั้งๆ ที่คุยกันแล้ว) จึงนำตัวส่งโรงพยาบาล ให้ท่านต้องอยู่ตามลำพังเป็นเดือน (เพราะห้ามเยี่ยมในช่วงโควิดระบาด) และสิ้นลมอย่างเดียวดาย ไม่ได้ตายท่ามกลางหมู่ญาติตามที่ตั้งใจ

เรื่องราวเหล่านี้มักทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ท่านทำกรรมอะไรมาหนอ เหตุการณ์ถึงได้ลงเอยแบบนี้ แม้พวกเราที่นี่ก็เช่นกัน แต่เมื่อตระหนักว่าสงสัยไปก็แค่นั้น เป็นเรื่องที่เราไม่มีทางรู้ให้ชัดได้ ก็ต้องวางความสงสัยลง ไม่พยายามถามอดีตความเป็นมาเพื่อหาความเชื่อมโยม (เว้นแต่ท่านมีเรื่องติดค้างใจที่อาจต้องช่วยคลี่คลาย) เพราะสิ่งที่ได้รับรู้อาจทำให้เกิดความลำเอียงในการดูแลท่านได้ 

เพราะเพียงแค่เห็นบางรูปมีลายสักเต็มตัว ได้รู้ว่าท่านเคยเสพยาจนหลอน หรือเคยนอนคุกมากว่า ๒๐ ปี เราก็รับรู้ได้ว่าใจกระเพื่อม ที่อาจทำให้มีท่าทีในการดูแลท่านเปลี่ยนไป ต้องตั้งสติเตือนใจตัวเองว่า ขณะนี้ท่านคือพระอาพาธที่ต้องการความช่วยเหลือ เราตั้งใจอุปัฏฐากดูแลท่านให้ดีที่สุดก็พอ

เรื่องวิบากกรรมที่ท่านทำมานั้น ส่งผลตามเหตุปัจจัยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เรามิได้มีหน้าที่และไม่จำเป็นต้องไปช่วยตัดสินหรือทำอะไรเพิ่มเติม มิฉะนั้นอาจไปเพิ่มอกุศลกรรมใหม่ให้ตนเอง

ครูบาอาจารย์ท่านจึงเทศน์สอนไว้ว่า เรามีหน้าที่ทำเหตุในส่วนของเราให้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นกับอีกหลายปัจจัย แค่วางใจยอมรับก็พอ