หลังจากได้ดูแลกันเพียงเดือนกว่าๆ หลวงพี่วิรัตน์ (นามสมมุติ) ซึ่งอาพาธด้วยมะเร็งถุงน้ำดีระยะสุดท้าย ก็จากพวกเราไปอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีของพระที่บวชเรียนมานาน

หลวงพี่วิรัตน์ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนสู้ชีวิต ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างแท้จริง เราเพิ่งทราบชัดถึงชีวิตที่ไร้ข้อผูกมัดของท่านหลังจากที่ไปติดต่อขอใบมรณบัตร เพราะได้ทราบว่าพ่อแม่ท่านไม่ได้แจ้งเกิด ท่านจึงไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎร์ และท่านก็ไม่เคยไปติดต่อขอทำบัตรเลย

แม้ท่านจะบอกกับเราตั้งแต่วันแรกว่าไม่มีบัตรประชาชน แต่เราก็ไม่ติดใจอะไร เพราะหนังสือสุทธิท่านมีระบุเลข ๑๓ หลักไว้แล้ว พร้อมทั้งมีเอกสารโรงพยาบาลที่ระบุถึงความเจ็บป่วยไว้ชัดเจน ท่านบอกว่าไม่มีบัญชีธนาคาร ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ให้ต้องกังวล เรายิ่งอนุโมทนากับท่านด้วย (นายทะเบียนแจ้งว่าเลข ๑๓ หลักนั้นแม้ชื่อตรงกับท่าน แต่ข้อมูลอื่นไม่ตรงเลย)

การไม่มีบัตร ย่อมมีผลไม่น้อยต่อการเลือกใช้ชีวิตอิสระของท่าน ทำให้ท่านไม่คิดจะเป็นเจ้าอาวาส ท่านเดินทางไปในที่ที่อยากไป อยู่ช่วยเพื่อนฝูงจัดงานบุญ ช่วยพัฒนาวัดจนพอใจแล้วก็ย้ายไปที่ใหม่

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้ ย่อมต้องลำบากยามชราหรืออาพาธหนัก เพราะไม่มีใครที่เคารพคุ้นเคยกันมากพอที่จะฝากผีฝากไข้ได้ แม้พระที่อยู่ช่วยงานวัดมานับสิบปี ก็ยังหาผู้ที่จะดูแลยามเจ็บไข้แทบไม่ได้

ในที่สุดสถานการณ์ที่น่าหวั่นนั้นก็พลันเป็นจริง ท่านเล่าว่าก่อนที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งท่านอยู่ที่ประจวบฯ ได้ ๒ ปี กับพระชรารูปหนึ่ง สำนักก็สัปปายะดีตั้งใจว่าจะอยู่ยาวไปสักพัก แต่เมื่อตรวจพบมะเร็งที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ท่านก็ถูกส่งกลับไปรักษาที่ประจวบฯ แล้วก็ถูกส่งต่ออีกให้กลับไปรักษาตามสิทธิที่ขอนแก่น จนได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด แต่ก็พบว่าไม่สามารถรักษาได้แล้ว จึงให้ออกจากโรงพยาบาลกลับวัด

ท่านไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน หาทางออกอย่างไร จึงโพสต์ขอความช่วยเหลือเข้าไปในกลุ่มเพื่อนพระในเฟซบุ๊ก บุญยังช่วยให้มีพระมาแนะนำให้ติดต่อมาอยู่กับเราที่สันติภาวัน

หลวงพี่วิรัตน์อยู่กับเราด้วยความเกรงใจ ท่านพยายามช่วยเหลือดูแลตัวเองเท่าที่ทำได้ ในช่วงแรกท่านไม่เคยเอ่ยปากร้องขออะไรเป็นพิเศษเลย เราต้องคอยถามเปิดโอกาสให้บอกสิ่งที่ต้องการ โดยเฉพาะในเรื่องอาหารซึ่งท่านฉันได้น้อยมากๆ เมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้นท่านจึงเอ่ยปากว่าอยากฉันอะไร ท่านว่าถ้าเป็นของที่ร่างกายไม่รับ ฉันไปก็จะอาเจียน

เมื่ออาการหนักขึ้น ท่านยิ่งฉันน้อยลง แม้กระทั่งยาที่เคยฉัน ท่านก็ขอให้ช่วยปรับลดลงอีก ซึ่งเราก็พยายามทำตามความประสงค์ของท่าน และชวนน้อมมองให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ขณะนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่เป็นไปดั่งใจเรา

ยังดีที่มะเร็งของท่านไม่ได้ทำให้ปวดมากนัก เมื่อปวดกล้ามเนื้อก็ใช้วิธีการนวดและยาทาพอบรรเทาลงได้ มีเพียง ๒-๓ วันสุดท้ายเท่านั้นที่ต้องฉันยาแก้ปวดเสริมไปด้วย

แม้ท่านจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังคุมสติได้ดี สื่อสารกับเราได้จนวันสุดท้าย ท่านยังบอกกับพวกเราว่า ตอนนี้ร่างกายท่านพร้อมที่จะแตกดับได้ทุกขณะ เมื่อเราถามย้ำว่าหลวงพี่ยังพร้อม และไม่มีอะไรต้องห่วงใช่มั้ย ท่านก็พยักหน้ายืนยัน

เราเลยถือโอกาสเรียนท่านว่า ได้โทรศัพท์คุยกับน้องสาวซึ่งเป็นญาติคนเดียวของท่านแล้ว เขาบอกว่าไม่ต้องรอ คงมาเยี่ยมไม่ได้ และหากท่านสิ้นลม เขาก็ขอให้สันติภาวันช่วยจัดการสรีระท่านให้ด้วย

คืนนั้นเราให้ออกซิเจนเพื่อช่วยให้ท่านหายใจสบายขึ้น ประมาณตีสองพระที่จำวัดเฝ้าอยู่เข้าไปดู ก็พบว่าท่านจากเราไปแล้วอย่างเงียบๆ ตาบแบบอิสรชน