หลังออกพรรษาไม่ถึงสัปดาห์ หลวงพี่ประหยัดก็ได้ร่ำลาพวกเราออกจาริกไปตามเป้าหมายของท่าน ตามที่ท่านเคยเกริ่นให้ทราบล่วงหน้าบ้างแล้ว ว่าจะอยากจะไปแถบป่าเขาชายแดนด้านตะวันตกซึ่งท่านเคยเดินทางไปเยือนมาแล้ว
แม้ท่านจะบอกว่าสุขภาพยังไม่เต็มที่นัก รู้สึกปวดหลังเวลาเดินไกลๆ แต่จากผลการตรวจเสมหะที่ไม่พบเชื้อแล้ว และได้รับยารักษาวัณโรคของเดือนที่ ๔ จากโรงพยาบาลมาฉัน ก็เพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้ท่านเดินทางต่อได้
เราก็เพียงช่วยย้ำให้ท่านฉันยาให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และเมื่อยาใกล้หมดต้องเตรียมหาที่รับยาฉันต่อไปอีก จนกว่าแพทย์จะสั่งหยุดยา ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเชื่อว่าท่านมีประสบการณ์มากกว่าพวกเราที่นี่มาก
แม้ท่านจะอาพาธด้วยโรคที่จัดว่าร้ายแรงมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ด้วยความที่ท่านยังหนุ่มแน่น ตลอดช่วงที่ผ่านมาพวกเราจึงแทบจะไม่ได้ต้องดูแลอะไรท่านเป็นพิเศษในฐานะผู้ป่วยเลย เพียงแต่เอื้ออำนวยเรื่องอาหาร สถานที่พัก และสิ่งของที่จำเป็นตามควรเท่านั้น ท่านกล่าวชื่นชมหลายๆ อย่างที่สันติภาวัน แต่แน่นอนว่าการจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างยืดยาวต่อไปนั้น ยังต้องการอีกหลายปัจจัยมาประกอบ
บ่ายวันนี้เราได้รับพระอาพาธอีกรูปหนึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกของสันติภาวัน หลวงพ่อชาติ (นามสมมติ) อายุ ๘๓ ปี ท่านเป็นพระเถระบวชมาได้ ๑๒ พรรษาแล้ว จากวัดที่ชลบุรี ลูกชายบุญธรรมวัยกลางคนที่นำหลวงพ่อมาส่งเล่าว่า หลวงพ่อแม้จะมีอายุมากแต่ท่านสุขภาพแข็งแรงดีมาโดยตลอด ยังบิณฑบาต กวาดลานวัด ทำกิจของสงฆ์ได้ครบถ้วนตามปกติ มีเพียงโรคพาร์กินสันที่มีอาการมือสั่นเท่านั้นที่ทำให้ท่านต้องฉันยาอยู่เป็นประจำ
แต่เมื่อประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านวูบไปจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ช่วงแรกแพทย์แจ้งว่ามีอาการสมองบวม แต่ก็ได้รักษาจนอาการบวมหายไป ในขณะที่แพทย์จะให้การตรวจรักษาต่อเนื่องก็พบว่าหลวงพ่อพยายามเลี่ยงไม่ยอมฉันยาที่ได้รับ และมีอาการข้างเคียงจากการฉันยามาก ดูซึม เพลีย โต้ตอบช้าลงมาก ประกอบกับท่านมีอายุมากแล้ว หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ประมาณ ๒ สัปดาห์ จึงกลับวัดและญาติๆ จึงปรึกษากันว่าจะไม่ทำการรักษาอาการทางสมองของท่านต่อ
เมื่อมาพักฟื้นที่วัดก็พบว่าท่านอยู่ในภาพติดเตียง ไม่สามารถเดิน ฉันอาหาร หรือช่วยเหลือตัวเองได้เลย ต้องมีคนคอยดูแลโดยตลอด ซึ่งทางวัดไม่มีบุคลากรที่จะช่วยดูแลอย่างต่อเนื่องได้ ตัวท่านก็ไม่ประสงค์จะสึกไปอยู่บ้าน ญาติจึงได้ติดต่อมาให้ทางสันติภาวันรับท่านไว้ดูแล
เมื่อแรกได้พบท่านดูท่านมีอาการเบลอๆ เหมือนรู้สึกตัวไม่เต็มที่นักแต่ยังสามารถบอกชื่อตัวเองได้ จึงได้ให้ท่านนั่งรถเข็นไปชมทิวทัศน์รอบอาคาร เพื่อย้ำให้ท่านทราบว่าได้ย้ายมาพักอยู่ที่สันติภาวันแล้ว
ญาติเล่าว่าเมื่อคืนท่านนอนไม่ค่อยหลับ ตลอดทั้งเช้าวันนี้ก็ยังไม่ได้ฉันอะไรเลย จึงได้จัดอาหารอ่อนๆ ให้หลานชายท่านได้ป้อนเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยให้ท่านนอนพัก และญาติๆ ได้ลากลับบ้าน
จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องค่อยๆ ประคับประคองเรียนรู้เพื่อให้การดูแลกาย-ใจของท่านอย่างเหมาะสม หากได้พักเพียงพอร่างกายฟื้นตัวขึ้นมาได้ ท่านก็จะได้กลับมาปฏิบัติรับใช้พระศาสนาต่อ และถ้าร่างกายสู้ไม่ไหวอ่อนแรงลงไป เราก็จะทำหน้าที่เตรียมความพร้อมส่งท่านเดินทางไกลครั้งสุดท้ายต่อไป