ความรู้สึกอยากตายเพราะทนทรมานกับโรคร้ายรุมเร้าไม่ไหว เป็นเรื่องที่พบได้ไม่ยากในผู้ป่วยหนัก แต่สุดท้ายพวกเขามักต้องทนรักษาไปเพราะลูกหลานร้องขอหรือหมอยังให้ความหวัง ส่วนที่ลงมือทำจริงๆ มักจบที่การฆ่าตัวตาย ทำร้ายจิตใจคนอยู่ข้างหลัง จะมีสักกี่คนที่เลือกยุติการรักษา แล้วมาใช้ชีวิตผ่อนคลายรอวาระสุดท้ายอย่างสงบเย็น

หลวงพี่โอภาส (นามสมมติ) เป็นผู้หนึ่งที่ถูกโรครุมเร้ามากมายในช่วงไม่กี่ปี ทั้งฝีฝักบัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดสมองอุดตันจนแขนขาขวาอ่อนแรง แพ้ยาจนเลือดออกในกระเพาะ ตับวาย ไตวาย ขณะที่หอบสังขารพิการไปฟอกไต กระดูกสันหลังก็เป็นหนองสร้างความเจ็บปวดมากขึ้น จนพี่สาวที่ดูแลก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย

การตัดสินใจที่จะยุติการรักษา เลิกกินยา ไม่ฟอกไต เป็นทางที่ท่านเลือกเองโดยไม่หวั่นไหวว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านบอกพี่สาวว่าอยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายสงบๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทั้งที่บ้านพี่สาวและวัดที่ท่านเคยอยู่ ทำให้เรามีโอกาสได้พบ/ดูแลกันที่สันติภาวัน
พี่สาวมาส่งท่านด้วยสภาพนอนติดเตียง สติสัมปชัญญะดีสื่อสารรู้เรื่อง แม้จะดูซูบเพลียอยู่บ้าง แต่ท่านก็ดูสดใส ไม่หดหู่หวั่นไหวที่ความตายจะมาถึงในเวลาอันใกล้ ท่านตอบเราเหมือนเดิมทุกครั้งที่ถามว่า “พร้อมครับ ไม่ห่วงอะไรแล้ว”

ท่านกระตือรือร้นสอบถามวัตรปฏิบัติของเรา อยากได้ร่วมทำวัตรเช้า-ค่ำ อยากออกไปฉันพร้อมๆ กัน ซึ่งเราก็พยายามจัดให้ ย้ายมาทำวัตรใกล้ๆ ให้ท่านนั่งรถเข็นมาได้ จัดอาหารให้ฉันพร้อมกัน แต่เมื่อได้ทำท่านก็รู้ว่าร่างกายล้าเกินกว่าที่จะทนนั่งรถเข็นได้นานๆ อีกต่อไป

สิ่งเล็กๆ ที่ทำให้ผู้ดูแลทุกคนประทับใจหลวงพี่โอภาสคือ ท่านพูดเพราะ ครับทุกคำ ขอบคุณแทบทุกครั้งที่เราช่วยเหลือ แม้ในช่วงท้ายสื่อสารลำบากสายตาท่านก็ยังคงบ่งบอกเช่นนั้น

ยามที่รู้สึกตัวดีท่านอยากฉันอาหารหลายอย่าง แต่พอเราเห็นรายการ ท่านก็เกือบอดฉัน เพราะของเหล่านั้นล้วนแสลงโรค ทั้งเครื่องดื่มหวานจัด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง แม้แต่กาแฟก็ต้องเพิ่มไมโลอีกซองใส่น้ำน้อยๆ เป็นต้น แต่พอฉุกคิดได้ว่านี่คงเป็นความสุขที่ท่านพอหาในช่วงท้ายชีวิต เราก็ยินดีจัดให้โดยไม่ลังเล

การดูแลท่านโดยรวมก็ไม่ยากนัก แต่อาการท่านจะแกว่ง คือหลังจากรู้สึกตัวอยู่ดีๆ ท่านก็จะหลับนิ่งไปเป็นวันๆ แล้วก็ฟื้นขึ้นมาฉันมาคุย แล้วก็หลับยาวอีกสลับกันไป (แต่จะแผ่วลงเรื่อยๆ) บางครั้งเราคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก หรือเดาว่ารุ่งเช้าท่านคงจะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่แล้วท่านกลับฟื้นมีพลังขึ้นมา มีสติรู้ตัว โต้ตอบกับญาติที่มาเยี่ยมได้

ตลอดเส้นทางที่ดูเนิ่นช้ากว่าจะถึงปลายทาง เราได้แอบเห็นความอ่อนไหวในใจท่านอยู่บ้าง บางครั้งท่านก็เปรยว่าอยากกลับบ้าน คิ้วจะขมวดอยู่เป็นระยะ อาจจะมีน้ำตาซึมในบางคราว แต่เมื่อเราคลึงคิ้วให้ คุยให้กำลังใจ ย้ำในความเป็นพระ พูดถึงข้อดีของการมาอยู่ที่นี่ ท่านก็ “โอเค ครับ” อย่างรวดเร็ว

เช้ามืดวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนทำวัตรท่านก็ยังรับรู้การป้อนน้ำ และฉันยาแก้ปวดอยู่ (ท่านจะปวดเฉพาะเวลาขยับตัว) ก่อนเราออกบิณฑบาตท่านหายใจเพียงแผ่วๆ เราไม่ลืมที่จะกล่าวคำร่ำลา ย้ำว่าถ้าไม่ไหวแล้วก็ให้ปล่อยวางร่างกายนี้โดยไม่ต้องอาลัย

หลังบิณฑบาตกลับมา หลวงพี่อำนวยที่เฝ้าอยู่บอกว่า “ท่านเงียบไปแล้ว” เมื่อส่องดูม่านตาก็พบว่าท่านจากไปแล้วจริงๆ
หลวงพี่โอภาสจะมาอยู่กับพวกเราเพียง ๑๗ วัน แต่ล้วนเป็นวันที่งดงาม ความเครียด ทุกข์กาย กังวลใจ ย่อมมีได้เป็นธรรมดา ทั้งกับท่านและผู้ดูแล เพียงแค่เรารับรู้ ยอมรับ เปิดโอกาสเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกนั้นๆ แล้วทำกิจในส่วนของเราให้ถูกต้อง ปัญหาต่างๆ ก็จะผ่านไปโดยไม่ทิ้งรอยค้างคาไว้ให้ใจเป็นทุกข์

เงาทมึนแห่งความตาย โรคร้ายที่รุมเร้า ไม่อาจทำให้หวั่นไหวได้ หากเราเผชิญภัยนั้นด้วยสติปัญญา มีกัลยาณมิตรประคับประคอง…

ชีวิตหนึ่งได้จบอย่างสงบและงดงามอีกครั้ง ณ สันติภาวัน