ใครๆ ก็อยากมีอายุยืน แต่ช่วงชีวิตที่ยืดออกไปนั้นจะต้องมีคุณภาพด้วย คือเป็นช่วงที่มีความสุข อยู่อย่างมีคุณค่า สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้คนรอบข้างได้ จึงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าปรารถนาอย่างแท้จริง

แต่หากช่วงชีวิตที่ยืนยาวนั้น เต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายเจ็บปวดทรมาน จิตใจเศร้าหมอง เครียด กังวล ต้องเป็นภาระให้ลูกหลานลำบากดูแล การมีอายุยืนนานอาจกลายเป็นนรกบนดิน ที่หลายคนอยากจากไปเสียให้พ้น 

เมื่อ ๓-๔ วันก่อน สันติภาวันได้รับพระอาพาธมาดูแลเพิ่มอีก ๑ รูป หลวงตาไสว (นามสมมติ) เดือนหน้าท่าน็จะมีอายุ ๙๗ ปีเต็ม โดยโรงพยาบาลได้ติดต่อนำท่านมาส่ง เนื่องจากขั้นตอนการรักษาที่โรงพยาบาลสิ้นสุดแล้ว 

ซึ่งถ้าเป็นผู้ป่วยทั่วไปทางครอบครัวก็ต้องรับกลับไปดูแลต่อที่บ้าน เมื่อเป็นพระวัดก็ควรรับท่านกลับไปดูแลพักฟื้น หรือหากญาติต้องการรับไปดูแลต่อก็ควรหารือกับทางวัด 

แต่สำหรับหลวงตาไสว หลังจากเจ้าหน้าที่ติดต่อไปที่วัด ทางวัดรวมทั้งคนในชุมชนแจ้งว่าไม่พร้อมที่จะดูแลท่าน

ติดต่อหาญาติพบว่าท่านมีลูกสาวอยู่คนเดียว อาชีพรับจ้าง ไม่มีบ้านของตนเอง ไม่สามารถที่จะดูแลท่านได้ ที่สำคัญคือลูกสาวไม่มีความผูกพันกับท่าน เพราะท่านออกจากบ้านไปตั้งแต่เธออายุ ๔ ปี ปล่อยให้อยู่กับแม่ตามลำพัง และแม่ก็เสียชีวิตแล้วด้วย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าหลวงตาไสวถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้ร่างกายด้านซ้ายอ่อนแรงทั้งหมด 

ท่านมาถึงสันติภาวันด้วยสภาพติดเตียงสมบูรณ์ ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ใส่สายปัสสาวะ ที่จมูกมีสายให้อาหาร สวมปลอกมือไว้กันดึงสายอาหาร ที่สำคัญคือท่านเจ็บปวดข้อและกล้ามเนื้อหลายจุด ร้องโอดโอยทุกครั้งเมื่อจัดท่าทางแขนขา ทำให้การบริหารเพื่อฟื้นฟูสภาพทำไม่ได้เลย แม้ในช่วงกลางคืนท่านก็ร้องครางทุกครั้งที่ขยับตัว

ท่านยังมีสติสัมปชัญญะพอพูดคุยโต้ตอบได้บ้าง แต่ก็มีปัญหาในการบังคับลิ้นทำให้ฟังค่อนข้างยาก หลายๆ ครั้งก็หลงสับสนเรื่องเวลา สถานที่ นำเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดคุย หรือพูดลอยๆ ขึ้นมาตามลำพัง 

แม้เพิ่งจะดูแลมาได้เพียงไม่กี่วัน หลวงตาไสวก็ทำให้พวกเราเห็นชัดถึงชราภัย และพยาธิภัย ที่เกิดขึ้นเมื่อสูงอายุ เห็นถึงความร่วงโรยไม่เที่ยงของกายนี้ รวมทั้งได้ประจักษ์ชัดว่าร่างกายนี้เมื่อถึงเวลามันอยู่เหนือการควบคุมของเราจริงๆ ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเราเลย เราไม่ควรกล่าวตู่ว่ากายนี้เป็นตัวตนของเรา…

ไม่มีใครจะรู้หรอกว่าเราแต่ละคนจะมีอายุยืนยาวเพียงใด แต่หลวงตาไสวกำลังบอกเราว่า หากมีอายุยืนโดยมิได้เตรียมอะไรไว้เลย มันคือเคราะห์กรรมมากกว่าโชคดี 

ร่ายกายนั้นแม้จะเตรียมตัวไว้ดีเพียงใด ก็ต้องร่วงโรยไปในที่สุด มีแต่จิตเท่านั้นถ้าเตรียมไว้ดีจะช่วยให้มีความสุขสงบอยู่ได้ แม้ในวันที่สังขารเสื่อมถอยลง

หลวงตาไสวคือครูที่มาเตือนให้เราเร่งเตรียมความพร้อมของจิตใจ อย่าให้ชราภัยมาพรากความสงบสดใสในใจเราไปได้เมื่อเข้าสู่วัยชรา