เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมา สันติภาวันได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลว่าอยากให้ช่วยดูแลพระอาพาธระยะท้ายรูปหนึ่ง ซึ่งท่านไม่มีญาติ ส่วนวัดที่สังกัดก็ไม่สามารถให้การดูแลต่อหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้ เมื่อทราบอาการอาพาธของท่านและมั่นใจว่าพอจะดูแลท่านได้ เราจึงได้ตอบรับไป
เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้ป่วยหลายอย่าง ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ช่วงเที่ยงวานนี้ (พฤ.) ทางโรงพยาบาลจึงได้ส่งหลวงพ่อบุญลือ (นามสมมติ) มาให้สันติภาวันดูแลต่อ
หลวงพ่อเป็นพระร่างบาง อายุ ๕๙ ปี บวชมาแล้ว ๒๒ พรรษา ท่านไม่รู้สึกตัวไม่สามารถโต้ตอบกับเราได้แล้ว มีเพียงตาที่ลืมขึ้นอย่างไร้จุดหมายเป็นบางครั้ง กับเสียงครืดคราดของลมหายใจและหน้าอกที่ยกขึ้นยุบลงตามจังหวะการหายใจเท่านั้นที่แสดงว่าท่านยังอยู่กับเรา
ท่านมาด้วยสภาพร่างกายของผู้ป่วยติดเตียงส่วนใหญ่ คือ มีสายให้อาหารผ่านทางจมูก มีท่อพลาสติกคาปากเพื่อความสะดวกในการดูดเสมหะ พร้อมหน้ากากให้ออกซิเจนปิดทับอีกที มีสายสวนปัสสาวะ พร้อมทั้งแผลกดทับตื้นๆ ๒-๓ จุด และร่องรอยความบอบช้ำที่แขนจากการให้น้ำเกลือ
ทีมพยาบาลที่มาส่งนอกจากจะสรุปอาการที่ผ่านมาให้เราฟังแล้ว ยังพูดถึงอาการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายท่านทรุดลงให้เราได้รู้ด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลหากพบอาการเหล่านี้ในอนาคต พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ปัญหา การให้ยา และการดูแลอื่นๆ จนเราเข้าใจ และยังประสานงานให้บุคลากรในพื้นที่เข้ามาเยี่ยมให้การช่วยเหลือต่อไปอีกด้วย
หลังจากทีมโรงพยาบาลกลับไป เราได้มีโอกาสดูแลเช็ดตัวทำแผลท่านไม่ทันไร อาการของหลวงพ่อบุญลือก็เริ่มทรุดลง อาหารทางสายยางที่เตรียมไว้ว่าจะให้ตามเวลาก็ต้องงด เพราะพบว่าอาหารที่ให้มื้อก่อนยังอยู่เต็มกระเพาะ หายใจแรงขึ้น มีเสียงครืดคราดชัดเจน ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้น เราจึงให้ยาตามที่ได้รับคำแนะนำไว้
หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ เราใช้โอกาสนี้สาธยายบทพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และบทโพชฌงค์ให้ท่านฟังที่ข้างเตียง ต่อด้วยการเปิดเทปเสียงพระสวดมนต์เบาๆ ไว้ข้างหมอน
แต่อาการของท่านยังคงแย่ลงเรื่อยๆ เราต้องเช็ดตัวให้เป็นระยะเพราะดูแล้วว่ายาลดไข้ไม่ให้ผลนัก แม้จะดูดเสมหะออกไปบ้าง แต่ไม่นานเสมหะก็มีอีก และเริ่มมีการหายใจคล้ายคนขาดอากาศซึ่งแสดงว่าท่านใกล้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว
เราพยายามใช้โอกาสทองช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อท่านมากที่สุด เริ่มต้นด้วยการช่วยท่านเรื่องศีลด้วยการชวนท่านจินตนาการปลงอาบัติ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ดูแลต้องเป็นฝ่ายพูดเองตอบเองโดยหวังว่าท่านจะนึกตามเราไปด้วย
จากนั้นได้ชวนท่านคลายสิ่งที่อาจจะทำให้กังวลใจ เช่น ให้คำยืนยันว่าพระเครื่องและทรัพย์สินที่ติดตัวมาจากโรงพยาบาลนั้น จะมอบคืนให้วัดที่ท่านสังกัดไปจัดการต่อ ส่วนร่างกายนี้ทางวัดก็รับปากแล้วว่าจะนำไปบำเพ็ญกุศลให้ ไม่ต้องกังวล
ท้ายที่สุดเราได้ชวนให้ท่านรู้สึกภาคภูมิใจในการได้ใช้ชีวิตในร่มผ้าเหลืองมาจนเป็นพระมหาเถระในวันนี้ น้อมจิตท่านให้อยู่กับลมหายใจและฟังเสียงเจริญพระพุทธมนต์บทต่างๆ ที่พระเรามักคุ้นเคยกันดี
ผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที การหายใจแรงของท่านก็แผ่วลง มีระยะห่างมากขึ้น เสมหะลดลง สำรอกอาหารออกมาเล็กน้อย แล้วร่างกายก็ดูผ่อนคลายลง ตาที่เคยปิดไม่สนิทหรือบางครั้งเปิกโพลง ก็ค่อยๆ ปิดลงได้เหมือนคนนอนหลับ
เราตระหนักดีว่าช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านคืบคลานเข้ามาแล้ว จึงพยายามไม่รบกวนท่าน หรี่เสียงสวดมนต์ลง บีบมือท่านบ้างเพื่อสื่อว่ายังอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ ท่าน และคอยย้ำให้ท่านมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัยเป็นระยะๆ เพื่อประคองจิตท่านให้เป็นกุศล กระทั่งลมหายใจของท่านหยุดไปอย่างแผ่วเบา ไม่ปรากฏแม้เฮือกสุดท้ายให้เราได้รับรู้
หลวงพ่อบุญลือ ใช้ชีวิตอยู่กับเราเพียงแค่ ๙ ชั่วโมง แต่เป็น ๙ ชั่วโมงที่มีคุณค่ายิ่ง เป็นช่วงเวลาแห่งกุศล เปิดโอกาสให้หลายคนได้ทำบุญคือทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เจ้าที่พยาบาลได้ทำหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยของเขาอย่างดีที่สุด พระภิกษุก็ได้ช่วยกันดูแลร่างกายประคับประคองจิตใจของท่านอย่างเต็มกำลัง ทั้งญาติโยมที่อยู่รายรอบก็ได้รับรู้ว่าการจากไปภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์นั้นอบอุ่นงดงามเพียงใด เราหวังว่าภาพการจากไปอย่างเรียบง่ายสงบเย็นนี้จะเป็นหนึ่งในตัวอย่างของวิถีชาวพุทธเมื่อจะก้าวสู่จุดสิ้นสุดแห่งชีวิตนี้ต่อไป