กว่าเดือนแล้วที่เราได้ดูแลพระวิโรจน์ (นามสมมติ) ที่มาสันติภาวันด้วยร่างกายที่ซูบผอม ดำคล้ำ เดินโซเซไร้เรี่ยวแรง และมีก้อนโตที่ข้างลำคอขวา ท่านดูแลตัวเองไม่ได้ ควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ และที่วัดก็ไม่ค่อยมีใครดูแล เนื้อตัวจึงดูมอมแมม มีโรคผิวหนัง พูดคุยด้วยก็ไม่ค่อยโต้ตอบ ดูเบลอตลอดเวลา และมียาลดความดันติดมาด้วย
ช่วงแรกเมื่อเราได้ดูแลใกล้ชิดขึ้น ให้ฉันยาสม่ำเสมอ ความดันโลหิตที่เคยสูงมากก็กลับมาอยู่ในเกณฑ์เกือบปกติ ท่านยังพอฉันอาหารเองได้แม้จะใช้เวลานานกว่าคนทั่วไปมาก แต่ก็ทำให้ร่างกายดูดีมีเนื้อมีหนังขึ้น พอเริ่มมีแรงท่านก็ลงจากเตียง ลุกขึ้นมาเดินจนพลาดล้มหลายครั้ง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
แต่ผ่านไปประมาณ ๒ สัปดาห์ ปรากฏว่าท่านมีปัญหาในการควบคุมร่างกายมากขึ้น ไม่ว่าเดินหรือนั่งจะเอียงไปทางซ้ายเสมอ ตาข้างขวาจากปิดไม่ค่อยสนิทกลายเป็นไม่ปิดและไม่กระพริบ ริมผีปากด้านขวาควบคุมไม่ได้ รวมทั้งมีปัญหาในการเคี้ยวและกลืนอาหารมากขึ้น ทำให้ฉันอาหารได้น้อยลงเรื่อยๆ เศษอาหารหกจากปาก น้ำลายไหลเปรอะเปื้อนทั่วบริเวณที่ฉัน
เมื่อปรึกษาแพทย์ตอนไปรับยาลดความดัน แพทย์ก็ยังตอบได้ไม่ชัดว่าผิดปกติอย่างไร เคยส่งตัวไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ แต่ท่านไปได้เพียง ๒ ครั้ง ก็ขาดการติดต่อกับโรงพยาบาลไป อย่างไรก็ตามทราบว่าก่อนบวชท่านใช้ยาเสพติดมาพอควร ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้
แม้เราพยายามเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อน แต่ท่านก็ยังมีปัญหาในการกลืน จนในที่สุดขณะนี้มีเพียงน้ำซุป และอาหารทางการแพทย์เท่านั้นที่พอนอนฉันได้บ้าง (ถ้านั่งจะไหลออก) แม้แต่ยา วิตามิน ไข่ หรือปลาที่บดเติมลงไปด้วยก็มักไหลปนกับน้ำลายออกมา ส่งผลให้ท่านมีร่างกายซูบผอมลงจนแทบเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน
ยังเป็นบุญของท่านที่ดูแล้วไม่มีการเจ็บปวดใดๆ ไม่ก้าวร้าววุ่นวายให้เราหนักใจ ใช้เวลาไปกับการนอนเป็นส่วนใหญ่ การดูแลช่วงนี้จึงเป็นเพียงการประคับประคองสังขารท่านไปวันๆ
ด้วยความจำกัดในสื่อสารกับท่าน การดูแลใจที่พอทำได้คือสัมผัสและพูดเปรยกับท่านอยู่เรื่อยๆ ให้ตระหนักว่าร่างกายนี้อยู่ในสภาพที่ถดถอยลงทุกวัน ให้วางใจให้ดี พร้อมทั้งเปิดเทปธรรมะเบาๆ คลอไว้ข้างเตียงตลอด
การได้ดูแลหลวงพี่วิโรจน์ทำให้เราเห็นภัยของยาเสพติดชัดขึ้น มันมิใช่แค่ทำให้ร่างกายแย่ แต่ผลต่อสมองทำให้กลายเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ หมดโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากธรรมะแม้จะเป็นพระก็ตาม นอกจากนี้ยังทำให้เราเห็นความร่วงโรยไม่เที่ยงของกายนี้ชัดขึ้นมาก เหมือนมีใครมาเร่งเวลาให้หมุนเร็วขึ้นจนทำให้ร่างกายชายวัย ๕๐ ปีต้นๆ ทรุดโทรมจนคล้ายคนอายุ ๘๐ ปีได้ในไม่กี่วัน อดไม่ได้ที่จะย้อนมองกลับมาที่ตัวเอง แล้วระลึกถึงพุทธพจน์บทที่ว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด