หากจะเปรียบเทียบความยากง่ายในการดูแล ระหว่างหลวงพ่อทองรูปก่อน กับหลวงพ่อมานิตรูปปัจจุบันตอบได้ทันทีว่าหลวงพ่อมานิตดูแลยากกว่า แม้ทั้งสองท่านจะมีอาการป่วยพื้นฐานที่คล้ายๆ กันคือมีปัญหาในการเคลื่อนไหวควบคุมร่างกาย แต่การที่ร่างกายซีกหนึ่งไม่มีความรู้สึกเลย หนักหนากว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก

ถึงหลวงพ่อมานิตท่านจะใช้มือซ้ายฉันอาหารได้เอง ยันตัวลุกเองได้บนเตียง แต่ท่านก็ไม่มีแรงพอที่จะดันตัวขยับไปไหนมาไหนได้ ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างท้วมบวกกับกล้ามเนื้อด้านขวาที่ไม่มีแรงเลย ทำให้พระที่ดูแลต้องใช้กำลังมากกว่าเมื่อต้องเคลื่อนย้ายท่านไปทำกิจต่างๆ

ท่านควบคุมการขับถ่ายได้น้อยมาก เมื่อท่านเรียกหรือสั่นกระดิ่งให้สัญญาณว่าจะถ่าย พอไปถึงท่านก็ถ่ายเสียก่อนทุกที แม้พยายามฝึกให้ถ่ายเป็นเวลาก่อนอาบน้ำก็ทำได้ยาก หรือแม้แต่การหยิบใช้กระบอกรองปัสสาวะเองก็ไม่ค่อยทันหรือไม่ถนัดทำให้ไหลเปรอะเปื้อนสบง จนในที่สุดเราต้องใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้ท่านตลอดเวลาแทน

ความยากลำบากในการดูแลร่างกายของท่าน ยังพอมีเครื่องมือหรือวัสดุมาช่วยแบ่งเบาภาระลงไปได้บ้าง แต่การดูแลจิตใจซึ่งต้องทำผ่านการพูดคุยสนทนากับท่าน กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเราเพราะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดหรือพยายามสื่อกับเราได้ หลายๆ ครั้งดูเหมือนท่านอยากพูดอยากเล่าอะไรมากมายแต่เมื่อฟังท่านไม่เข้าใจ เราก็ได้แต่ยิ้มๆ ครับๆ แล้วจำต้องตัดบทไปในที่สุด

เบื้องต้นเราได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการลองให้ท่านใช้มือซ้ายเขียนข้อความบนกระดาษ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะหนังสือไม่เป็นตัวจนไม่สามารถอ่านได้ ลองเปลี่ยนให้ท่านกดแป้นแท็บเล็ตก็ยังไม่สามารถสื่อสารกันได้อยู่ดี ในที่สุดทำได้เพียงแต่ถามให้ท่านพยักหน้าหรือส่ายหน้า และพยายามเดาจากสีหน้าท่าทางรวมทั้งคำที่รัวออกมาจากปากท่าน โดยหวังว่าเมื่ออยู่กันนานวันไปเราจะเข้าใจท่านได้มากขึ้น

การสื่อสารกันอย่างยากลำบากนี้ ช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมตัวของเราเอง ถ้าหากวันหนึ่งเราเกิดเจ็บป่วยจนไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบตัวได้ จะทำอย่างไร เราเคยซ้อมสั่งเสีย หรือจัดการภาระต่างๆ ในชีวิตไว้บ้างหรือยัง มีแผนในใจรึเปล่าว่าเราจะอยู่อย่างไรถ้าพูดกับใครไม่ได้ หรืออาจเลวร้ายถึงขนาดที่ว่าพยักหน้า ขยับมือ หรือสื่อสารไม่ได้เลย จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะยังมีใจที่สงบอยู่ได้

ขณะนี้ ยังพอมีเวลา เรามาเตรียมพร้อมเรื่องนี้กันไว้บ้างก็ดีนะ