บ่ายวันนี้ ก็เป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ทีมสันติภาวันได้ไปเยี่ยมพระอาพาธที่หอผู้ป่วยสงฆ์ รพ.ชัยภูมิ เราได้รับแจ้งว่าวันนี้มีภิกษุอาพาธทั้งหมด ๗ รูป เมื่อไปถึงก็พบว่า ๔ รูป เป็นท่านเดิมที่เราเคยเยี่ยมมาแล้ว บางท่านก็อยู่ รพ.มาโดยตลอด ๕-๖ สัปดาห์ที่ผ่านมา บางท่านก็ไปๆ มาๆ ตามสภาพอาการของโรคที่เป็นอยู่

เราพบหลวงตาจันท์ (นามสมมุติ) ครั้งแรกในวันนี้ ท่านอายุ ๘๑ ปี บวชมาแล้ว ๒๕ พรรษา มาเข้าพักรักษาตัวครั้งนี้ด้วยอาการปอดอักเสบ และตัวซีด เมื่อ ๔ วันที่แล้ว ภาพแรกที่เราเห็นคือหลวงตาแก่ๆ ผอมบาง ผิวคล้ำ นอนหมดแรงติดเตียงอยู่รูปเดียว มีหน้ากากออกซิเจนครอบปากและจมูกไว้ เมื่อเอ่ยคำทักทายท่านรู้สึกตัวเบิกตาขึ้นมองพวกเราเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดคุยโต้ตอบอะไร เราก็เพียงกุมมือกล่าวให้กำลังใจ ส่งความปรารถนาดีไปให้ท่านผ่านรอยยิ้มและการสัมผัส

พยาบาลแจ้งว่าวันนี้อาการท่านไม่ดีนัก ความดันและระดับออกซิเจนในเลือดดูเหมือนจะตกลงเรื่อยๆ และทางทีมช่วยเหลือผู้ป่วยระยะท้ายของโรงพยาบาลยังไม่มีโอกาสแวะมาเยี่ยม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้พวกเราพูดคุยเกี่ยวกับการเตรียมตัวเดินทางไกลครั้งสุดท้ายกับท่านด้วย

หลังจากที่เราเยี่ยมให้กำลังใจพระอาพาธอีก ๔ รูปที่เหลือเสร็จหมดแล้ว จึงมีโอกาสกลับมาที่เตียงหลวงตาจันท์ อีกครั้ง ซึ่งก็พบว่าความดันและค่าออกซิเจนในเลือดของท่านลดต่ำลงไปอีก นอกจากมอบกำลังใจและความห่วงใยให้ท่านแล้ว เรายังน้อมใจท่านให้เป็นกุศล ให้เห็นคุณค่าถึงการได้บวชเป็นพระ อยู่ในร่มผ้าเหลือง และแอบเตือนท่านให้นึกถึงกรรมฐาน การสวดมนต์ และบุญกุศลที่เคยทำมาอย่าให้เสียทีที่เป็นพระ

ลูกสาวคนเดียวที่เฝ้ามาโดยตลอด เล่าให้ฟังว่าเมื่อช่วงเช้าช่วงที่ท่านยังพอมีแรง มีสติอยู่ ท่านเอาแต่ท่องบ่นสวดมนต์อยู่ตลอด ช่วงนี้พยาบาลก็ได้เป็นธุระช่วยเตรียมพานธูปเทียนแพ เพื่อจะให้พระได้นำลูกสาวขอขมา/ขออโหสิกรรมต่อหลวงพ่อ แม้เธอบอกว่ายังมีลูกท่านอีกคนที่กำลังเดินทางมาใกล้ถึงแล้ว แต่เราก็ชวนเธอทำพิธีด้วยกันก่อน จะทำกันอีกครั้งเมื่อลูกอีกคนมาถึงก็ยังได้

ตลอดช่วงเวลาที่เราทำพิธีขออโหสิกรรมกันนั้น ท่านไม่ตอบสนองใดๆ แล้ว มีแต่เสียงหายใจลึก นานๆ ครั้งแบบหิวอากาศ ตาข้างขวาท่านดูเหมือนจะปิดไม่สนิทนัก เมื่อทำพิธีขออโหสิกรรมกันเสร็จ และทราบว่าท่านชอบสวดมนต์พวกเราที่ไปเยี่ยมจึงร่วมกันอัญเชิญบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสาธยายให้ท่านฟัง

หลังจากเริ่มสวดจบที่สองไม่นาน ท่านเริ่มขย้อนน้ำออกมาทางปาก ๔-๕ ครั้ง โดยไม่มีอาการไอ หรือสำลัก แล้วร่างกายก็ค่อยๆ สงบลงอีก เสียงหายใจแผ่วลง สัญญาณชีพบนจอมอนิเตอร์ เริ่มช้าลงๆ กระทั่งสิ้นเสียงการสาธยายคุณพระรัตนตรัยในจบที่สาม การหายใจของท่านก็หยุดลงอย่างเงียบๆ ราบเรียบไม่มีการกระตุกของร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น สัญญาณชีพในเครื่อง ยังคงปรากฏให้เห็นอีกเล็กน้อยหมู่สงฆ์ก็ยังคงสาธยายมนต์ไปอย่างต่อเนื่อง จนสิ้นเสียงสวดมนต์ในจบที่ห้า ทุกอย่างก็สงบลงอย่างสิ้นเชิง พยาบาลได้ตรวจสอบชีพจรในจุดสำคัญต่างๆ อีกครั้ง ใช้ไฟฉายส่องม่านตา และบอกกับพวกเราว่าหลวงพ่อจากไปแล้ว

ทุกคนในที่นั้นต่างรับรู้ได้ว่านี่คือการจากไปอย่างสงบและสมบูรณ์จริงๆ ไม่ต้องพึ่งยามาบังคับให้สงบหลับใหลไร้สติ แต่อบอวนด้วยมนตราอันเป็นมงคล มีหมู่สงฆ์อยู่รายล้อม พยาบาลยืนส่งอย่างเคารพอยู่ข้างๆ เจือด้วยเสียงส่งสั่งลาเบาๆ จากลูกสาว “หลวงพ่อไปดีนะ ๆ ๆ”

ทำอย่างไรหนอ บรรยากาศการจากไปแบบนี้ จะพึงมีกับทุกๆ คน…