หลังจากติดต่อประสานงานกันอยู่ประมาณ ๑ เดือน บ่ายสอง ของวันที่ ๑๒ ตุลาคม ก่อนออกพรรษา ๑ วัน โยมทีมงานของเราที่จังหวัดลพบุรีก็ได้นำหลวงพ่อทอง (นามสมมติ) จากวัดใหญ่แห่งหนึ่งที่นั่น มาถึงสันติภาวัน

ทีมงานต้องอุ้มหลวงพ่อจากที่นั่งข้างข้างคนขับลงมา เพราะท่านไม่สามารถเดินเองได้ เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis หรือโรค ALS ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากขาดเซลล์ประสาทจากไขสันหลังและสมองนำคำสั่งมาควบคุม สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่แน่ชัด โดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๐ ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ ๒.๕ ปี ส่วนใหญ่เกิดจากระบบหายใจล้มเหลวและการติดเชื้อในปอดอันเนื่องมาจากการสำลัก

หลวงพ่อทองเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย คุยเก่ง แม้ตัวโรคจะทำให้ท่านต้องใช้ความพยายามมากว่าคนปกติในการพูด เดิมท่านอยู่ลำพูน ปัจจุบันอายุ ๖๑ ปี บวชมาแล้ว ๒๑ พรรษา ท่านเล่าว่าเริ่มมีอาการมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ พอปีถัดมาก็ล้มบ่อย เวียนศีรษะ ขาอ่อนแรงลง และเดินไม่ได้ในที่สุด เคยไปรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ และที่สถาบันประสาทวิทยา ในที่สุดทราบว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด และอาการของท่านก็ทรุดลงเรื่อยๆ พูดลำบาก สำลักง่าย แขนขาลีบลงและควบคุมให้เป็นไปตามต้องการยากขึ้น

ว่าตามจริงอาการของหลวงพ่อทองที่แม้อยู่ในเกณฑ์ผู้ป่วยระยะท้าย แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นช่วง ๓ เดือนสุดท้ายของชีวิตตามเกณฑ์การรับเข้าดูแลของสันติภาวัน และหลวงพ่อเองก็ไม่ต้องการมาที่สันติภาวันมากนัก แต่เนื่องจากที่วัดท่านไม่มีใครคอยดูแลอย่างจริงจัง จะมีก็เพียงผู้ที่มาช่วยเถกระโถนปัสสาวะ และป้อนอาหารตอนเย็นวันละครั้งเท่านั้น (ตักฉันเองไม่ได้) ที่เหลือท่านต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง ลูก ๒ คน ก็ไม่ค่อยมาเยี่ยม ดังนั้นทางวัดจึงอยากส่งให้สันติภาวันดูแล

เราปรับพื้นที่พักท่าน ท่านไม่ต้องการนอนบนเตียงผู้ป่วย จึงนำเตียงออกและให้ท่านนอนบนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น เพื่อท่านจะได้ถัดดันตัวไปห้องน้ำได้เองยามจำเป็น เราวางแผนดูแลท่านด้วยการปรับกิจวัตรที่ท่านเคยปฏิบัติอยู่ที่วัดเดิม ให้เป็นกิจกรรมที่เอื้อเฟื้อต่อสภาพร่างกายและจิตใจมากขึ้นก่อน อย่างน้อยก็ช่วยให้ร่างกายท่านทรุดช้าลง จากเดิมที่ท่านจะชงอาหารเสริมฉันกับขนมเค้กสำเร็จรูป ๒-๔ ชิ้น ในช่วงเช้า แล้วก็นั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์อยู่ที่กุฏิจนค่ำ จึงจะมีพระว่างมาป้อนข้าวต้มที่เก็บใส่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เช้าให้ท่าน หากมีมะม่วงสุกที่นิ่มกลืนง่ายก็จะนำมาฉันกับข้าวต้มด้วย ท่านพูดอยู่เสมอว่าเกรงใจคนที่อุตส่าห์มาดูแลท่าน ไม่อยากกวนเขามากกว่านี้

เราได้เปลี่ยนให้ท่านได้ฉันอาหารที่ปรุงใหม่ๆ ในช่วงเช้า โดยพระที่ดูแลจะตักอาหารมาเผื่อท่าน นำข้าวต้ม หรือข้าวสวยปั่นกับน้ำต้มจืด เติมผักต้ม ไข่ต้ม ฯลฯ ป้อนท่าน ช่วงบ่ายๆ ก็ชงอาหารเสริมให้ท่านดื่ม หากท่านหิวช่วงก่อนนอนก็ให้ฉันนมถั่วเหลืองอีก ๑ กล่อง ระหว่างวันก็ให้ท่านฟังเสียงธรรมะ ให้ท่านเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง บีบนวดท่านบ้างตามความถนัดของผู้ดูแล และบ่ายๆ ก่อนสรงน้ำก็จะพาท่านนั่งรถเข็นเที่ยวชมบริเวณวัด ส่วนขนมเค้กสำเร็จรูปที่ท่านฉันทุกวันมาตลอดระยะ ๔-๕ ปี และอุตส่าห์นำติดมาด้วย ๑๐ กล่อง ก็ไม่ให้ได้ท่านฉันอีกต่อไป รวมทั้งไม่มีโทรทัศน์ให้ท่านดูด้วย

ผ่านไปเพียงคืนเดียว เมื่อรู้ว่าทีมงานของเราที่มาส่งท่านจะไปธุระแล้วเลยกลับลพบุรีไม่ย้อนขึ้นมาอีก ท่านก็ขอว่าอยากจะกลับวัดเดิม บอกว่าเกรงใจพวกเราที่ดูแลอยู่ที่นี่ ต้องเกลี้ยกล่อมกันอยู่พักใหญ่ท่านถึงตัดสินใจอยู่ต่อ นี่ก็ผ่านไป ๔ คืนแล้ว ดูท่านจะเริ่มคุ้นเคยกับพวกเรามากขึ้นและไม่บ่นเรื่องอยากกลับอีกเลย… คืบหน้าอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป