ญาติโยมรวมทั้งพระจำนวนไม่น้อยคิดว่า ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ หรือระดับเกจิอาจารย์แล้ว คงไม่มีปัญหาเรื่องผู้ดูแลยามอาพาธช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะมีสานุศิษย์คอยอุปัฏฐากดูแลมากมาย

แต่ในความเป็นจริงเท่าที่สันติภาวันได้สัมผัสมา มิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
พระผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ที่ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าจะมีลูกศิษย์ลูกหาปรนนิบัติยามอาพาธ ต้องเป็นครูบาอาจารย์สายพระป่ากรรมฐาน หรือมิฉะนั้นท่านต้องป่วยให้ดูแลอยู่ไม่นานก็จากไป

แน่นอนว่าพระป่าสายกรรมฐาน ท่านถือข้อวัตรในการปรนนิบัติครูบาอาจารย์สืบต่อกันมาดี ครูบาอาจารย์สายนี้ จึงไม่ถูกทอดทิ้งยามชราอาพาธ ถ้าจะถูกละเลยอยู่บ้างก็เป็นกลุ่มพระที่อายุมากแต่พรรษายังน้อยเท่านั้น

ส่วนเกจิที่มิใช่สายกรรมฐาน แต่หนักไปทางความขลัง ดังในหมู่ศิษย์ที่ศรัทธาในฤทธิ์เดช เมื่อท่านเจ็บป่วยอาพาธขึ้นมา ในช่วงแรกมักได้รับการดูแลดีจากญาติใกล้ชิด หรือศิษย์ที่เคยได้รับประโยชน์จากท่าน

แต่หลังจากนั้น หากอาการยืดเยื้อรุนแรง จนไม่สามารถพบปะญาติโยมได้อีกต่อไป ขาดทรัพย์ที่จะใช้เกื้อหนุนศิษย์ คนใกล้ชิดก็จะเริ่มตีจาก และถูกทอดทิ้งในที่สุด

เกจิที่เราดูแลรูปหนึ่ง แม้ท่านจะเป็นเพียงพระลูกวัด แต่ก็บวชมานานและเชี่ยวชาญในการทำนายทายทัก เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ท่านเมตตาสูงมีน้ำใจแบ่งปันข้าวของ เงินทอง ตั้งใจช่วยผู้ที่ทุกข์กายทุกข์ใจตลอดมาจนอาพาธ

ในช่วงแรกก็มีศิษย์เข้ามาดูแลที่วัด แต่ด้วยอาการที่หนัก-ต่อเนื่อง และอีกหลายปัจจัย ศิษย์ค่อยๆ ถอยห่างออกไปทีละคน จนท่านย้ายออกไปอยู่ที่วัดต่างจังหวัด และในที่สุดท่านถูกนำมาให้สันติภาวันดูแลต่อจนสิ้นอายุขัย

ในระหว่างที่เราดูแลท่านอยู่นานนับปีนั้น มีทั้งเพื่อน และลูกศิษย์ลูกหาที่ท่านเคยเมตตาช่วยเหลือไว้ แวะเวียนมาเยี่ยม มาหา รวมทั้งนำเงินที่เคยยืมท่านไปมาคืน

ที่มาเองไม่ได้ ก็โทรศัพท์สอบถามอาการ และโอนเงินมาทำบุญช่วยเหลือการดูแล ทุกคนต่างพูดถึงแง่มุมดีๆ ที่เคยได้รับเมตตาจากท่าน บางครอบครัวถึงกับพูดว่ามีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะท่านเคยช่วยไว้

แต่ไม่ว่าจะซาบซึ้งบุญคุณเพียงใด ก็ไม่มีใครอาสารับท่านไปดูแล

พระอีกรูปหนึ่งซึ่งแม้ท่านอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จัก ไม่ได้ช่วยเหลือคนไว้มากอย่างรูปแรก แต่ท่านก็เป็นสายขลังมีน้ำมนต์เครื่องรางไว้แจกญาติโยม เป็นกำลังใจยามชีวิตมีปัญหา

แต่เมื่อถึงคราวตนเองชราอาพาธ มีเพียงผู้หญิงตัวคนเดียวผู้ที่นับถือท่านดุจพ่อ รับจากวัดไปโรงพยาบาล นำท่านกลับไปดูแลจนหมดกำลัง ในที่สุดต้องส่งท่านมาให้เราช่วยดูแลต่อจนกระทั่งมรณภาพอีกเช่นกัน

สำหรับพระ ไม่ว่าจะสนใจเรื่องใด เชี่ยวชาญเก่งกาจระดับไหน หากไม่มีหมู่สงฆ์คอยดูแลแล้ว ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า ช่วงท้ายของชีวิตตนจะอยู่ได้อย่างมั่นคงในผ้าเหลืองภายใต้ธรรมวินัย

เรื่องเช่นนี้จะรอให้ชรา หรืออาพาธขึ้นมาแล้ว ค่อยแสวงหาที่อยู่ หาที่ที่มีผู้ดูแลนั้น แทบเป็นไปแทบไม่ได้เลย

ดังนั้นพระคุณเจ้ารูปใดที่ตัดสินใจแล้วว่า จะสละชีวิตเพื่อพระศาสนา ขอตายในผ้าเหลือง ต้องตั้งคำถามกับตัวท่านเองว่า หากเกิดอาพาธติดเตียงขึ้นมา (ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้ยังไม่ชรา) ท่านจะอยู่ต่ออย่างไร

หากคำตอบชัดเจนว่าไม่สามารถอยู่ที่วัดเดิมต่อไปได้โดยลำพัง สิ่งที่พอจะทำได้มี ๒ ทาง คือ รีบย้ายไปอยู่วัดที่จัดระบบดูแลไว้อย่างมั่นคงชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าหาไม่ง่าย และที่ยากกว่าคือการขอเข้าไปอาศัยอยู่ในวัดนั้น

หรือมิฉะนั้นก็ต้องเร่งช่วยกันสร้างระบบดูแลพระชราอาพาธขึ้นมาในวัดของตน ต้องเสียสละ และให้ความร่วมมือกับหมู่คณะอย่างจริงจัง เพื่อให้ระบบนี้มั่นคงยั่งยืน โดยไม่คิดจะโยนให้เป็นภาระของใคร

ที่สำคัญ เลิกหวังได้เลยว่าจะมีญาติโยมเข้ามาดูแลต่อเนื่องไปจนสิ้นลม

เพราะยามอาพาธ แม้เกจิหรือเจ้าอาวาส ก็มีโอกาสถูกทอดทิ้ง