หลังจากที่หลวงพ่อทองตระเวนรักษามาหลายที่ แต่แพทย์ก็ระบุตรงกันว่าโรคที่ท่านเป็นนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีแต่จะทรงหรือทรุดลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดท่านก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ตลอดระยะเวลากว่า ๕ ปี ที่เริ่มจากเคลื่อนไหวไม่สะดวก จนทุกวันนี้แม้ยืนนิ่งๆ เพื่อนุ่งห่มเองก็ทำไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น หรือใช้ก้นถัดไปยามจำเป็นต้องหยิบอะไรในกุฏิ แค่จะตักอาหารฉันยามหิวก็ยังทำเองไม่ได้
ความรู้สึกร่วมกันอย่างหนึ่งของผู้ป่วยที่เริ่มติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้คือ รู้สึกว่าชีวิตในแต่ละวันนั้นช่างน่าเบื่อ อยู่รอเวลาให้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยังเป็นบุญของหลวงพ่อทองที่ท่านฝึกภาวนามาไม่น้อย จึงผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ไม่ยากนักในแต่ละวัน เมื่อไม่มีอะไรทำ การเฝ้าสังเกตว่าร่างกายมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นบ้างจึงชัดเจนขึ้น และจำได้อย่างแม่นยำ
ท่านเล่าว่า วันโกนเมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมานั้น หลังจากที่ท่านค่อยๆ เดินเกาะราวเข้าห้องน้ำเพื่อไปปลงผม พอเสร็จจะเดินออกจากห้องน้ำ แต่ก้าวยังไม่พ้นประตูห้องน้ำ ขาของท่านก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ตัวทรุดลงกองกับพื้นหน้าห้องน้ำ พระเพื่อนที่อยู่ตรงนั้นพอดี พยายามช่วยพยุงและลุ้นให้ท่านลุกขึ้นยืนต่อ แต่ท่านก็ทำไม่ได้ นับแต่วันนั้นมาท่านก็ไม่สามารถเดินได้อีกเลย การควบคุมมือไม้ก็ไม่เป็นดังใจ
หลังจากได้มาพักที่สันติภาวัน แม้อาการโดยภาพรวมจะดูดีขึ้น เช่น ถ่ายได้เองบ้างโดยไม่ต้องพึ่งยาระบาย ซึ่งแต่เดิมนั้นต้องฉันเป็นประจำวันเว้นวัน อาการศีรษะโยก มึนงงโคลงเคลง หรือที่ท่านเรียกว่า “เมา” ถึงยังมีอยู่แต่ก็ทุเลาลง กระนั้นท่านก็ยังคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ เช่น ช่วงที่มาแรกๆ ท่านเปรยให้ฟังว่ารู้สึกว่ามือท่านลื่นขึ้น เหมือนไม่มียาง หยิบจับอะไรไม่ค่อยอยู่ ต้องใช้วิธีประคองหรือหนีบเอาไว้ หากเป็นแก้วน้ำก็ต้องมีหูจึงจะรู้สึกมั่นใจในการหยิบจับ
เมื่อใดที่มีอาการผิดปกติทางกายเกิดขึ้น ท่านจะแสดงความกังวลให้สังเกตได้ไม่ยาก จากที่เคยดูร่าเริง ยิ้มง่าย ก็จะนิ่งหรือเงียบลง และพูดถึงอาการที่ท่านกังวลบ่อยๆ แม้บางครั้งอาการดูไม่รุนแรงนัก เช่น ถ่ายเหลว ท้องผูก หรือแค่เจ็บมุมปากก็ตาม
การบอกอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟังนี้ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ดูแล จะได้หาทางแก้ไขแต่เนิ่นๆ เช่น เริ่มจากปรับอาหารหรือกิจวัตรดูก่อน หากไม่ดีขึ้นจึงค่อยหายามาให้ฉัน หรือปรึกษาผู้รู้ อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ท่านเจ็บมุมปาก เราเริ่มด้วยการทาลิปมันให้ท่านก่อนเพราะเป็นช่วงที่อากาศเย็นลงพอดี แต่เมื่อทาอยู่ ๒ วัน ท่านว่ายังไม่ดีขึ้น จึงได้หาวิตามินบีสองมาให้ฉันจนอาการหายไป
ส่วนเรื่องของจิตใจที่แสดงให้เห็นภาวะจิตตกเมื่อมีความผิดปกติทางกาย ทำให้ความร่าเริง ยิ้มง่ายของท่านลดลง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต ยิ่งผู้ที่จมอยู่กับความเสื่อมถอยของกายที่ทยอยเกิดมายาวนานอย่างท่าน จะยิ่งได้รับผลกระทบเรื่องนี้ง่าย
ยังโชคดีของพวกเราที่หลวงพ่อท่านปฏิบัติธรรมมาไม่น้อย ท่านวางใจกับอาการทางกายเหล่านี้ได้ดี รวมทั้งอาการทางกายที่เกิดกับท่านก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้มากนัก เพียงแค่เราไม่ดูดาย พูดคุย และพยายามหาทางช่วยเหลือท่าน ก็ดูจะช่วยให้ท่านผ่อนคลายลงได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่เราได้มากคือบทเรียนที่สะท้อนมาถึงตัวเอง ทำให้ตระหนักว่าที่เคยสวดพิจารณาบ่อยๆ ว่าเรามีความป่วยไข้เป็นธรรมดา หรือเคยฝึกซ้อมจนคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะตาย แต่พอถึงวันนั้น เมื่อโรคร้ายหรือความตายมาอยู่ตรงหน้า เราอาจจะแย่กว่าหลวงพ่อมากนัก สิ่งที่เราคิดว่าเตรียมไว้อย่างดีอาจมีพลังไม่เพียงพอที่จะรักษาใจให้สงบนิ่งก็ได้ การได้ดูแลหลวงพ่อผู้อาพาธได้เปิดโอกาสให้เราทบทวนตัวเองไม่ให้ประมาทในเรื่องนี้… ต้องขอบคุณหลวงพ่อทองที่มาให้พวกเราได้เรียนรู้จากการดูแลท่าน…