ก่อนที่พระอาพาธจะเข้ามาพักที่สันติภาวัน ตัวท่าน ญาติ หรือทางโรงพยาบาล จะต้องติดต่อมาก่อน เพื่อเราจะได้ประเมินว่ารับดูแลท่านได้หรือไม่

ส่วนใหญ่หากผ่านเกณฑ์เบื้องต้นทั้ง ๔ ข้อของเรา คือ อาพาธในระยะท้าย ท่านเต็มใจมา พอแล้วกับการรักษา และเราดูแลได้ ก็จะตกลงรับ นัดหมายวันเดินทาง และให้เตรียมเอกสารที่จำเป็นติดตัวมา

เกือบ ๕ ปีที่ดูแลพระอาพาธมา พวกเรามีข้อสังเกตร่วมกันว่า พระอาพาธที่มา มัก “ไม่ตรงปก” คือสภาพเจ็บป่วยของท่านไม่ตรงกับที่ได้ให้ข้อมูลไว้

มีส่วนหนึ่งที่แจ้งอาการอาพาธของพระดีกว่าสภาพที่ป่วยจริง เช่น บอกว่าท่านจะถ่ายยากหน่อยต้องให้ฉันยา มียาทำให้อุจจาระนิ่มที่ต้องทุกคืน สัก ๓-๔ วัน จึงให้ยาระบายก่อนนอน เช้าท่านก็จะถ่าย

แต่พอเราดูแลท่านจริงๆ โหดกว่ามาก ทั้งให้ฉันผัก ฉันเมล็ดแมงลัก เพิ่มขนาดยา ใช้ยาสวนก็ยังเงียบ สุดท้ายต้องล้วงถึงจะออก

โยมคงเกรงว่าถ้าเล่าความจริงให้เราฟัง อาจดูยุ่งยากจนเราไม่ยอมรับท่านมาดูแลก็ได้

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดต่อมาจะให้ข้อมูลอาพาธหนักกว่าความเป็นจริง อาจเพราะตกใจ ไม่รู้ หรือคิดว่าอาการที่เห็นนั้นร้ายแรงจริงๆ

ที่พบบ่อยคือพระที่อาพาธด้วยเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก เมื่อพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังพูดไม่ชัด เดินไม่ได้ อาจมีสายให้อาหารด้วย แต่ทางโรงพยาบาลจะให้กลับไปพักฟื้นที่วัดก่อน แล้วมาพบแพทย์ตามนัด

ญาติพี่น้องมักตกใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ใครจะดูแล (เพราะวัดยกให้เป็นหน้าที่ของญาติ) ดูยากไปหมด

เมื่อได้คุยกับเรา จึงให้ข้อมูลที่ดูแย่กว่าความเป็นจริงไปมาก ด้วยหวังให้เรารับไปดูแลแทน

กรณีเช่นนี้ เรามักอธิบายให้เข้าใจถึงสภาพร่างกายที่ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ และให้คำแนะนำเท่าที่พอทำได้ ถ้าเราพร้อมก็มีบ้างที่รับมาดูแลแบบมีเงื่อนไข เช่น จะดูแลให้เพียง ๒-๓ เดือน เมื่อร่างกายท่านฟื้นตัวก็ส่งกลับ

รายล่าสุดที่เรารับมา ญาติแจ้งว่าท่านเดินไม่ได้ เป็นโรคแขนขาอ่อนแรง ลำไส้อุดตัน รับมาดูแลเพียง ๔-๕ วัน ท่านก็ยืนได้ด้วยตนเอง และกำลังอยู่ระหว่างการฝึกเดิน คาดว่าอีกไม่เกิน ๒ สัปดาห์ ก็จะแข็งแรงพอช่วยเหลือตัวเองได้ ท่านก็จะได้กลับไปอยู่ที่วัดตามเดิม

จริงๆ แล้ว ท่านเพียงอ่อนเพลียเพราะนอนโรงพยาบาล ไม่ได้เดินนาน จนขาไม่มีแรง ไม่ได้เป็นโรคแขนขาอ่อนแรง ท่านยังเล่าด้วยว่า ปกติเป็นคนธาตุหนักถ่ายยากมานานแล้ว ไม่ใช่ลำไส้อุดตันอย่างที่ญาติบอก

เป็นธรรมดาที่คนเรามักรู้สึกว่าปัญหาที่กำลังเผชิญนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ภาระหนัก จึงไม่แปลกที่ญาติพระจะให้ข้อมูลอาพาธที่เกินจริงไปบ้าง

พวกเราที่สันติภาวันเองต่างหากที่ต้องเรียนรู้ มีสติ และวางใจให้ถูก พร้อมๆ กับนำหลักธรรม “กาลามสูตร” มาใช้ พยายามเข้าใจถึงภาระที่โยมต้องรับดูแลพระแทนวัดด้วย

เพียงเท่านี้ จิตเราก็ไม่ตก เมื่อรับพระที่ไม่ตรงปกมาดูแล