ไม่ทันไร เวลาก็ผ่านไป ๓ เดือนแล้ว ที่พวกเราได้ดูแลหลวงพ่อทอง จากวันแรกที่ท่านเดินทางมาอย่างไม่เต็มใจนัก ยอมมาเพราะได้รับข้อมูลที่บิดเบือนไปว่าสันติภาวันรักษาโรคที่ท่านเป็นอยู่ได้ จึงตกกระไดพลอยโจนมาที่นี่ เมื่อรู้ความจริงว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ท่านจำต้องอยู่พร้อมกับความกังวลใจ ทำได้เพียงโทรกลับไปถามพระที่คุ้นเคยอยู่เนืองๆ ว่าเมื่อไหร่จะขึ้นมาเยี่ยม และมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะได้ติดรถกลับไปวัดด้วย

สัปดาห์ที่ผ่านมาสิ่งที่ท่านเคยปรารถนาก็เกิดขึ้นจริง พระที่ท่านคุ้นเคยที่วัดเดิมพร้อมกับโยมอีก ๓ คน ได้เดินทางมาเยี่ยมท่านที่สันติภาวัน ได้สนทนาปราศรัยถามไถ่ถึงเรื่องราวในวัดเดิมกันพอควร พอดีตรงกับวันโกนเราเลยจัดให้พระมหาเถระที่เคยดูแลท่านมาได้ช่วยปลงผมให้ท่านด้วย และแล้วคำถามที่รอคอยก็ถูกเอ่ยขึ้น ท่านถามหลวงพ่อทองว่าจะกลับวัดไหมล่ะวันนี้ ถ้าจะกลับก็เตรียมของเลย ท่านตอบกลับอย่างมีท่าทีว่า “กลับไปแล้วจะมีใครดูแลล่ะ ต้องลำบากเป็นภาระให้อาจารย์มาดูแล อยู่ที่นี่มีพระพี่เลี้ยงช่วยดูแลดีทุกอย่าง”

เป็นอันว่าถึงวันนี้หลวงพ่อทองสุขกายสบายใจที่ได้อยู่ที่สันติภาวัน ทั้งที่เราไม่สามารถรักษาอาการท่านให้หายได้ อีกทั้งมิได้ขวนขวายแสวงหาวิธีเยียวยาอื่นใดๆ มาให้ท่านนอกเสียจากยาที่ท่านนำติดตัวมา เราเพียงดูแลร่างกายให้สะอาด ปัดกวาดถูเสนาสนะให้เรียบร้อย ให้ท่านได้ฉันอาหารที่มีประโยชน์ ได้รับแสงแดดอุ่นๆ ทุกเช้า และพานั่งรถเข็นชื่นชมธรรมชาติบรรยากาศวัดป่าในตอนเย็น เพียงเท่านี้ดูเหมือนได้ช่วยให้สุขภาพของท่านดีขึ้นอย่างชัดเจน

ท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้นอนหลับดีขึ้นมาก ไม่ผวา ไม่มีปัญหาตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับเหมือนเคย และไม่ต้องฉันยาถ่ายเป็นประจำอีกต่อไป อาการไอรุนแรงที่แทบจะขาดใจที่เคยเป็นอยู่เรื่อยที่วัดเดิม ก็เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในสัปดาห์แรกที่มาอยู่ อาการท้องเกร็งเป็นตะคริว ตกใจง่ายตอนนอน รวมทั้งการพลาดพลั้งล้มกลิ้งในห้องหรือห้องน้ำที่เกิดอยู่บ่อยๆ ก็เกิดน้อยมากที่นี่ แถมรู้สึกว่าเมื่อลูบตามเนื้อตัวก็ดูเหมือนมีเนื้อมีหนังขึ้นกว่าแต่ก่อน

การได้พูดคุยทำความเข้าใจในสภาพความเจ็บป่วยของท่าน รวมทั้งพัฒนาการของโรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ท่านยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ และคิดว่าพร้อมที่จะเผชิญสภาพที่เลวร้ายกว่านี้ได้ คำถามซ้ำๆ ที่ย้ำอยู่เป็นระยะในช่วงแรกว่า “ทำไม” เริ่มหายไป เช่น “ทำไมผมถึงยืนหรือเดินไม่ได้ ทั้งๆ ที่ขาผมก็ยังมีแรงเตะอยู่นะ” หรือ “มือผมก็ยังรู้สึกเจ็บ ยังคัน แต่ทำไมมันถึงหยิบจับอะไรไม่ค่อยติด” จนต่อมาคำถามเหล่านั้นกลายเป็นวลีว่า “ยังดีนะ” … “ยังดีนะที่ตอนนี้ผมยังพอถัดตัวไปเข้าส้วมเองได้ ยังไม่ต้องนอนถ่ายอยู่บนเตียง” “ยังดีนะ ที่ไม่ได้เจ็บปวดทรมานเหมือนคนที่เป็นมะเร็ง” หรือ “ยังดีนะที่ผมได้มาที่นี่ ถ้าไม่มีบุญคงไม่ได้มาอยู่นี่หรอก”

ที่สำคัญคือท่านยอมรับ และพร้อมที่จะตายได้โดยไม่รู้สึกห่วงอะไรแล้ว พวกเราพูดคุยถึงเรื่องความตายกับท่านอยู่เรื่อยๆ เข็นพาท่านไปที่เมรุหลังวัดบ้าง เปิดโอกาสให้ท่านได้ทบทวนว่าท่านยังมีห่วงหรือกังวลกับเรื่องใดอยู่บ้างหรือไม่ ถึงขั้นวางแผนว่าถ้าหากท่านเกิดสิ้นลมลงไปจะให้จัดการกับร่างของท่านอย่างไรด้วย อยากจะให้สวดกี่วัน บอกใครบ้าง จะเผาที่นี่หรือจะให้ลูกนำกลับไปบ้าน เป็นต้น

เมื่อมีเหตุพิเศษเกิดขึ้น เช่นครั้งหนึ่งท่านเป็นตะคริวที่ท้อง หลังจากอาการทุเลาลงก็ได้คุยกับท่านว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาหลวงพ่อรู้สึกอย่างไร หลังจากที่ได้รับฟังท่านระบายความรู้สึก จากนั้นได้ชวนท่านสำรวจจิตใจดูว่าตอนที่อาการเกิดขึ้นนั้นมีความกลัวไหม กำหนดจิตให้สงบลงได้บ้างหรือเปล่า แล้วลองชวนท่านให้พิจารณาดูว่าถ้าเกิดสิ้นใจไปตอนนั้นหลวงพ่อคิดว่าจะสอบผ่านไปสุคติได้หรือเปล่า แล้วก็ใช้เรื่องนี้เป็นกำลังใจกระตุ้นให้ท่านอยู่กับกรรมฐาน เพื่อจะได้สอบผ่านอย่างมั่นใจเมื่อมรณภัยมาเยือนจริงๆ

ช่วงหลังมานี้ยามว่าง ช่วงที่ท่านนอนเล่นพักผ่อน นอกเหนือจากฟังเสียงอ่านธรรมะจากวิทยุบุญเครื่องน้อยแล้ว ท่านเล่าว่าได้พยายามมีสติอยู่กับตัวเอง อยู่กับ พุท-โธ บริกรรม พุท-โธ ๆ ๆ ในใจอยู่ตลอด ท่านว่าช่วยให้ปล่อยวางเรื่องร่างกาย และสิ่งวุ่นวายข้างนอกได้ ทำให้ท่านสงบสบายใจดี ท่านยังเชื่อว่าการทำแบบนี้ จะทำให้พวกเราผู้ที่คอยดูแลท่านอยู่ได้บุญเพิ่มมากขึ้นด้วย ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยๆ ที่ท่านพอจะตอบแทนพวกเราคนดูแลท่านได้บ้าง

สาธุ… ที่ท่านเมตตาต่อพวกเรา