ตั้งแต่เรารับพระอาพาธมาดูแลที่สันติภาวัน หลวงพ่อสมบัติ (นามสมมติ) ที่เราเพิ่งรับเข้ามาไม่นานนี้ ถือว่ามีร่างกายทรุดโทรมที่สุดเท่าที่เคยดูแลมา

ท่านถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง หลังรอดจากโควิด-๑๙ มาได้อย่างหวุดหวิดเพราะมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย

โยมที่ติดต่อส่งท่านมาเล่าว่า เมื่อปลายปี ๒๕๖๓ วัดเดิมได้ส่งท่าน (ซึ่งอยู่ในสภาพติดเตียงแล้ว) เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แล้วก็ขาดการติดต่อไป หลังจากอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่า ๒ เดือน มีพระรูปหนึ่งเมตตารับท่านมาดูแลอย่างดีอยู่ถึงปีครึ่ง แต่แล้วก็มีอันติดโควิดพร้อมกัน แต่พระชราผู้ดูแลนั้นมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าจนไม่สามารถดูแลท่านต่อได้ จึงได้ส่งมาให้เรารับช่วงต่อ

ท่านมีโรคพื้นฐานของผู้สูงอายุอยู่ครบถ้วน ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด ถุงลมโป่งพอง เส้นเลือดในสมองตีบ/แตก และโรคหัวใจ การที่อยู่ในสภาพติดเตียงมานาน สภาพร่างกายโดยรวมของท่านจึงดูบอบบางมาก

ท่านผอมแห้ง แขนขางอเกร็งอยู่ตลอดเวลา เอ็นยึดแขนทั้งสองข้างเข้ามาที่อก ดูคล้ายทารกที่อยู่ในครรภ์ ท่านถูกเจาะคอเพื่อช่วยหายใจ มีสายอาหารสอดผ่านจมูกลงสู่กระเพาะ ตามผิวหนังพบตุ่มพองมีน้ำเหลืองใสหลายขนาด มีทั้งที่กำลังเริ่มโผล่ โตเต็มที่ และที่แตกตกสะเก็ดแล้ว และมีแผลกดทับที่ก้นอีก ๒ จุด นอกจากนี้ปัสสาวะยังมีหนองส่งกลิ่นเน่าคละคลุ้งอีกด้วย

ท่านไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารใดๆ ได้เลย เว้นแต่เมื่อมีการดูดเสมหะที่ท่านมักน้ำตาไหลที่บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวด และมีการเกร็งตัว ยกศีรษะ ซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อพลิกตัว เช็ดตัว หรือสรงน้ำให้ท่าน

ถึงแม้ร่างกายท่านจะบอบบาง แต่การดูแลโดยทั่วไปก็ไม่ยุ่งยากนัก ส่วนสำคัญคือท่านไม่แสดงอาการเจ็บปวดไม่สบายใดๆ ออกมา เสมหะในลำคอก็มีไม่มาก บางวันไม่ต้องใช้เครื่องดูดให้ท่านเจ็บปวดเลย อาหารก็เพียงเตรียมป้อนตามเวลา ไม่ต้องใช้ลีลาหลอกล่อให้ฉัน ไม่ต้องเสียเวลาเลือกอาหารที่ถูกปาก ขอเพียงทำให้สะอาดมีสารอาหารครบถ้วนก็เป็นอันใช้ได้

ส่วนเรื่องจิตใจเราก็ไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้มากนัก เพราะอุปสรรคในการสื่อสาร แต่กระนั้นเราก็พยายามพูดกับท่าน เหมือนดั่งว่าท่านกำลังฟังเราอยู่ โดยเฉพาะเมื่อจะต้องสัมผัสตัวท่าน ให้ยา ป้อนอาหาร ทำแผล และอื่นๆ ช่วงเช้า-ค่ำ ก็มีเสียงทำวัตรสวดมนต์กล่อมท่านเป็นประจำ

สภาพร่างกายจิตใจของหลวงพ่อสมบัติ เป็นครูแสดงสัจธรรมให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ได้อย่างดี จากพระหนุ่มกำยำในวัยไม่ถึง ๓๐ ทำงานให้พระศาสนาตลอดมา ๔๕ ปี จนได้มาเป็นเจ้าสำนักที่พักสงฆ์ สร้างศาสนสถานใหญ่โตไว้ให้ชุมชน แต่เมื่ออาพาธลงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กลับไร้คนดูแล

การเตรียมตัว เตรียมความพร้อมไว้สำหรับวันที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรละเลย เพราะคาดเดาได้ยากว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราจะอยู่ในสภาพใด โดยเฉพาะพระคุณเจ้าที่ทิ้งบ้านเรือน เหินห่างจากญาติพี่น้อง ออกมาทำงานเพื่อพระศาสนา แสวงหาชีวิตที่อิสระสงบเย็นตามลำพัง

ถ้าขาดชุมชนแห่งกัลยาณมิตร ชีวิตปั้นปลายอาจถูกทอดทิ้งอย่างเดียวดาย ไม่มีทรัพย์ ไร้ที่พักพิง ในร่ายกายที่ไร้สมรรถภาพ จิตใจที่ไร้สติสัมปชัญญะ ซึ่งเท่ากับ… ไม่เหลืออะไรเลย