พระส่วนใหญ่เห็นคุณค่า และความจำเป็นในการดูแลกันยามอาพาธ แต่หากเอ่ยปากชวนท่านให้แบ่งปันเวลามาช่วยกันดูแล มักถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้ยังมีภารกิจอื่นจะต้องทำอีกมาก ทั้งอยากเรียนบาลี อยากมีปริญญา อยากจำพรรษาเมืองนอก อยากออกธุดงค์ อยากทรงสมณศักดิ์…

เรื่องที่สำคัญในชีวิตคนเรา หลายครั้งถูกรั้งรอ เพื่อขอใช้เวลาทำเรื่องอื่นก่อน

แต่การเจ็บป่วย และความตายนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่รอไม่ได้ และไม่ให้ใครต่อรอง

พระอาพาธที่สันติภาวันดูแลมา แทบไม่มีท่านใดคิดไว้ก่อนเลยกว่า การป่วยครั้งนี้จะหนักหนา ถึงกับต้องเผชิญหน้ากับความตาย

หลวงพ่ออนุสรณ์ (นามสมมติ) ที่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ไม่คิดมาก่อนว่า แค่แผลเน่าเล็กๆ ที่เท้า จะเป็นเหตุให้ท่านต้องถูกตัดขานอนโรงพยาบาลอยู่ถึง ๘ เดือน อยู่ที่สันติภาวันอีก ๑๔ เดือน จนมรณภาพ ไม่ได้กลับไปที่วัดอีกเลย

หลวงพี่โอภาส (นามสมมติ) ที่ยังอยู่ในวันฉกรรจ์ ทำงานแข็งขันดูแลวัดอย่างไม่บกพร่อง จู่ๆ โรคร้ายก็ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน จนท่านยอมแพ้ ขอมาอยู่ในที่สงบๆ กับเราในช่วงท้ายของชีวิต

ล่าสุดหลวงพี่มนัส (นามสมมติ) แค่เสี้ยววินาทีหลังอุบัติเหตุ จากพระหนุ่มที่มีพลังทำอะไรได้มากมาย ต้องกลับกลายเป็นผู้พิการไปทันที เพราะแขนขาหักเดินไม่ได้ แค่เจ้าอาวาสเดินผ่านกุฏิไปโดยไม่เข้ามาเยี่ยมทักทาย ก็ทำร้ายจิตใจท่านมากแล้ว การต้องโทรวานผู้ใหญ่บ้านญาติโยมให้ช่วยจัดอาหารมาถวาย ยิ่งลำบากใจสุดๆ

การเจ็บป่วย ความตายเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ในรูปแบบไหน พระอาพาธรายต่อไปที่ประสบอุบัติเหตุ เส้นเลือดในสมองแตก หรือตรวจพบมะเร็ง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ตัวเรา

วิถีชีวิตของพระซึ่งไม่มีทรัพย์ ไม่มีครอบครัว จะเตรียมตัวใช้ชีวิตในระยะท้าย โดยทำพินัยกรรม สั่งให้ลูกหลานดูแลเยียวยา ทำตามความปรารถนาของตนนั้น คงเป็นไปได้ยาก

การหามิตรแท้ จัดระบบดูแลในวัด มีข้อปฏิบัติชัดเจนของหมู่สงฆ์ ที่สร้างความมั่นใจว่าจะดูแลกันไปจนมรณภาพ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งพระจะฝากความหวังไว้ที่ใคร หรือให้ผู้ใดช่วยรับผิดชอบแทนไม่ได้

ในขณะที่กายยังไหว ใจยังดี พระเราจึงควรแบ่งเวลาที่มี ทำอะไรดีๆ ให้หมู่คณะเพื่อพระอาพาธบ้าง โดยเฉพาะการลงมือช่วยดูแลพระอาพาธด้วยตัวเอง อันเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า และเป็นช่วงเวลาปฏิบัติธรรมที่ดียิ่ง

พร้อมทั้งช่วยรักษาบรรยากาศเช่นกันนี้ ให้กลับมาเป็นส่วนสำคัญในวัด ให้มั่นใจว่าจะไม่มีพระรูปใดถูกกดดันให้กลับบ้าน หรือทอดทิ้งให้อาพาธอย่างเดียวดายอยู่ในวัดอีกต่อไป

แน่นอนว่าการไขว่คว้าหาความรู้ ประสบการณ์ ทำงานเพื่อคณะสงฆ์ พัฒนาสังคม หรือสร้างศาสนสถาน ล้วนเป็นงานที่สำคัญไม่น้อย แต่งานภายใน การเตรียมใจ สิ่งแวดล้อม และระบบ ไว้เผื่อยามต้องพบกับความชรา อาพาธ ก็ไม่ควรผัดผ่อนละเลย

ในเมื่อยามป่วยหนัก เราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว, ขณะที่อุบัติเหตุ ความเจ็บไข้ อุบัติภัยก็เกิดได้ทุกเมื่อ การผัดผ่อน รอไว้ก่อน แก่กว่านี้ค่อยทำ จึงไม่ทันกาล

กิจต่อเรื่องที่ไม่มีสิทธิ์ผัดผ่อนเช่นนี้ หากไม่ลงมือทำทันที บรรยากาศแห่งมิตรไมตรีที่อยากให้มีในหมู่สงฆ์ คงไม่บรรลุผลแน่นอน

oppo_0