ช่วงต้นเดือน มีโยมโทรติดต่อมาว่า อยากฝากพระพี่ชายมาให้เราช่วยดูแล ท่านเพิ่งตรวจพบมะเร็งปอด แต่อาการทรุดมากแล้ว ไม่มีแรง คงรับการรักษาไม่ไหว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่วัดก็ไม่มีใครดูแล

หลังจากทราบจากโยมว่าอีก ๒ สัปดาห์ โรงพยาบาลมีนัดให้ไปตรวจอีก จึงได้แนะนำให้รอไปพบแพทย์ก่อน แล้วแจ้งความประสงค์ว่าอยากรับการดูแลแบบประคับประคอง จะได้รับยามา และขอให้แพทย์ช่วยออกเอกสารสรุปการรักษาให้ด้วย เผื่อจำเป็นต้องพาไปรับยาต่อจะได้ไม่ยุ่งยาก เสร็จแล้วจึงค่อยพาท่านเดินทางมา

เมื่อเย็นวันที่ ๑๕ ที่ผ่านมา หลังจากจัดการภารกิจที่โรงพยาบาลเรียบร้อย โยมได้พาหลวงพ่อชื่น (นามสมมติ) เดินทางมาที่สันติภาวันเลย ท่านอยู่ในสภาพที่อ่อนโรย เดินเองไม่ได้ ร่างกายซูบผอมมาก ทราบว่าตลอดวันนี้ฉันผลไม้ไปเพียง ๒-๓ ชิ้นเท่านั้น แต่ท่านก็ยังมีสติรู้ตัวดี สื่อสารได้ ไม่แสดงอาการปวดหรือหอบเหนื่อยให้เห็น

การดูแลหลวงพ่อชื่นโดยรวมถือว่าไม่ยาก หลังจากที่เราสรงน้ำ สระผม ปลงหนวดเคราให้แล้ว ก็ให้ท่านฉันยาและพักผ่อน โดยเตรียมเครื่องผลิตออกซิเจนไว้ข้างเตียงเผื่อมีอาการหอบเหนื่อยด้วย

ระหว่างการดูแลท่านไม่ได้เรียกร้องอะไรพิเศษ จนเราต้องเป็นฝ่ายถามท่านเป็นระยะๆ ว่า ปวดมั้ย เหนื่อยหรือเปล่า หิวน้ำ หรือต้องการฉันอะไรบ้าง ซึ่งก็มักได้ได้รับคำปฏิเสธหรือส่ายหน้า

ช่วงหลังเราจึงเลิกถาม แต่ใช้วิธีนำมาป้อนให้เลย ซึ่งท่านก็ฉันได้ไม่มาก ทั้งวันท่านฉันข้าวต้มได้แค่ ๓-๔ ช้อนเล็กๆ เท่านั้น

สิ่งเดียวที่ท่านเอ่ยปากว่าอยากฉันคือ กาแฟ แน่นอนว่าเราไม่ปฏิเสธ ท่านฉันได้วันละหลายครั้ง แต่ครั้งละไม่มาก เราจึงใช้วิธีผสมนมทางการแพทย์เข้ากับกาแฟ ให้ท่านพอได้รับสารอาหารบ้าง แต่นั่นก็ยังถือว่าปริมาณน้อยมากๆ

เมื่อขาดอาหาร บวกกับภาวะโรคที่แพร่กระจายไปมาก ทำให้อาการหลวงพ่อทรุดลงอย่างรวดเร็ว ภายใน ๒-๓ วัน ท่านผอมลง หลับมากขึ้น สื่อสารได้น้อยลง กาแฟที่เคยชอบท่านก็ปฏิเสธ ยาเม็ดก็ฉันไม่ได้ แม้แต่น้ำก็ต้องใส่กระบอกฉีดยาค่อยๆ หยดให้ป้องกันท่านสำลัก

แม้โรคจะรุมเร้า แต่ในภาพรวมท่านอยู่ในอาการที่สงบ ไม่ไอ ไม่มีไข้ ไม่แสดงอาการปวดหรือกระสับกระส่าย มีหายใจเร็วแรงบางครั้ง ก็จะให้ออกซิเจนปรับศีรษะให้ตะเคงเล็กน้อยอาการท่านก็จะดีขึ้น

สิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการดูแลพระอาพาธที่นี่คือ แพทย์ที่ดูแลแบบประคับประคองที่ท่านเพิ่งไปพบมา ได้โทรมาสอบถาม แสดงความห่วงใย กล่าวขอบคุณ และฝากฝังให้เราดูแลท่าน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เราโทรมาสอบถามได้ตลอดหากติดขัดในการดูแล

แม้จะได้คุยกับคุณหมอในช่วงสั้นๆ แต่สร้างความอบอุ่นใจในการดูแลท่านได้มาก จนอยากให้บรรยากาศดีๆ เช่นนี้ เกิดขึ้นกับทุกครอบครัว ทุกๆ จุด ที่กำลังมีการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายอยู่

หลวงพ่อชื่นอยู่กับเราเพียง ๕ วัน ก็จากไปอย่างสงบในช่วงค่ำ ท่ามกลางเสียงเทปสวดมนต์บทอนัตลักขณสูตร บทโพชฌงค์ ฯลฯ ที่เปิดคลอไว้ตั้งแต่ช่วงสายๆ สร้างบรรยากาศในห้องดูแลพระอาพาธวันนี้สงบเป็นพิเศษ

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ของการดูแล แต่ก็เป็นช่วงแห่งความสงบ เรียบง่าย งดงาม ที่ได้ช่วยกันประคับประคองกายใจของท่านให้สงบ ผ่อนคลาย ภายใต้กรอบแห่งพระธรรมวินัย

ได้เปิดโอกาสให้ญาติที่อาจเคยเหินห่างตามเงื่อนไขทางสังคม มีโอกาสกลับมาดูแลกันในช่วงท้ายของชีวิต ได้เป็นเจ้าภาพทำบุญส่งท่านเป็นครั้งสุดท้าย

ความงดงามยังคงเกิดขึ้นได้แม้ในสถานการณ์แห่งความตาย หากเราได้เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมระบบไว้รองรับ แล้วลงมือทำสิ่งดีๆ ไปด้วยกัน