ที่ผ่านมางานดูแลพระอาพาธที่สันติภาวันของเรายังถือว่าไม่หนักนัก แม้จะขาดพระผู้ดูแลมาโดยตลอด แต่ก็พอมีโยมที่มาช่วยแบ่งเบาภาระลงบ้าง

แต่ช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงที่หนักสุด มีพระอาพาธเต็มครบทั้ง ๖ เตียงเป็นครั้งแรก ช่วงหนึ่งถึงขั้นล้นจนต้องรีบขยับขยายย้ายท่านที่อาการดีขึ้นแล้ว ให้ไปอยู่ที่กุฏิชีวาภิบาลในเขตของท่าน

ส่วนหลวงพ่อชื่น (ที่กล่าวถึงในตอนที่แล้ว) ก็อาการหนักขึ้นจนมรณภาพลงในช่วงเวลานี้เช่นกัน และยังมีพระที่อาพาธด้วยมะเร็งระยะแพร่กระจายอีกรูปหนึ่งติดต่อจะขอเข้ามาพักด้วย

งาน “หนัก” ที่สุดจริงๆ ของเราเริ่มต้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม เพราะได้รับสามเณรทิม (นามสมมติ) ที่มีน้ำหนักถึง ๑๔๐ กิโลกรัม มาดูแล (แค่เขียนให้ล้อ “งานหนัก” เฉยๆ ความจริงน้องเณรไม่ได้เป็นภาระเรามากนัก)

เณรทิมได้ติดต่อเข้ามาตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์ แจ้งว่าตัวเองอายุ ๔๐ ปีแล้ว ตอนนี้เป็นหลายโรค อยากหาที่สงบๆ เพื่อใช้ชีวิตในช่วงท้ายภายใต้ผ้าเหลือง

เณรเล่าว่าเพราะป่วยหลวงพ่อจึงได้พากลับมาส่งให้อาศัยอยู่ที่บ้านกับโยมแม่เกือบ ๓ ปีแล้ว ที่วัดไม่มีพระดูแล ส่วนชาวบ้านแถวนี้ก็พูดเข้าหูเหมือนกันว่า บวชแล้วทำไมถึงมาอยู่ที่บ้าน

เณรพูดถึงเหตุผลที่บวชว่า ตอนทำงานค่อนข้างเครียด แล้วมีโอกาสได้คุยกับญาติที่บวชอยู่ ท่านว่าให้ใช้สติจะช่วยได้ ทำให้ติดอยู่ในใจว่าสติดีขนาดนั้นเลยหรือ

ในที่สุดมีโอกาสจึงตั้งใจบวชสักพรรษา แต่พระอาจารย์ที่วัดท่านให้บวชเณรก่อน เมื่อพร้อมค่อยบวชพระ พอได้ศึกษาธรรมะ ทำให้ตัดสินใจบวชปฏิบัติต่อมาเรื่อยๆ นี่ก็เข้าปีที่ ๑๐ แล้ว ยังไม่รู้สึกอยากบวชพระ ถ้าจะเสียชีวิตไปช่วงยังเป็นเณรก็ไม่เป็นไร

เรื่องสุขภาพเณรบอกว่าเริ่มอ้วนเมื่อทำงาน แล้วก็อ้วนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่บ้านก็ไม่มีใครอ้วน เพราะความอ้วนนี้เอง ทำให้สารพัดโรคตามมา ทั้งเส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจโต ตับ ไต ทำงานไม่ปกติ เกาต์ ต้อหิน ต้อกระจก ริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง เป็นต้น

เณรบอกว่าตอนนี้ไม่คิดจะรักษาให้หายแล้ว แค่กินยาประคองๆ ไปเท่านั้น แต่ไม่อยากตาบอดจึงพยายามหยอดตาประจำ ถ้าเจ็บปวดมีทุกขเวนาขึ้นมาก็อดทนเอา

แม้อาการป่วยของเณรจะยังไม่ใช่ระยะท้าย แต่ความอ้วนผนวกกับการไม่ยอมเข้ารับการรักษาจริงจัง ร่างกายก็มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังต้องการคนใส่ใจดูแลไม่น้อย ความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมและอยากตายในผ้าเหลืองก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราอยากให้ความช่วยเหลือเณรทิม

เมื่อรับสามเณรเข้ามาดูแล เราจำเป็นต้องแยกห้องพักจากพระ (ตามพระวินัย พระนอนพักห้องเดียวกับเณรหรือโยมผู้ชายได้ไม่เกิน ๓ คืน) รวมทั้งต้องประยุกต์อุปกรณ์บางอย่างขึ้นใหม่ เพื่อความสะดวกปลอดภัยของเณรด้วย

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เณรบอกข่าวดีว่าน้ำหนักน่าจะลดลงนิดหน่อย โดยสังเกตจากประคตรัดเอวที่เริ่มขยับเข้ามา แต่ดูจากสภาพโดยรวมก็เดาได้ไม่ยากว่า เณรยังเผชิญกับทุกขเวนาอยู่ไม่น้อย

เณรบอกว่าสบายใจที่ได้มาอยู่ที่สันตภาวัน พร้อมนำเอกสารหลักฐานต่างๆ มาแสดง ที่ดูเหมือนเป็นการฝากฝังสั่งเสียให้เราช่วยรับผิดชอบชีวิตท่านต่อด้วย เราเองก็พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลตามเหตุปัจจัยที่พอช่วยได้

เราหวังว่าเณรจะได้ใช้สถานที่นี้ปฏิบัติพัฒนาจิตตามศักยภาพที่ตนมี อันเป็นหนึ่งในเจตนารมณ์สำคัญของสันติภาวันเช่นกัน