เมื่อญาติมาส่งพระอาพาธที่สันติภาวัน จะเป็นโอกาสให้เราได้พูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆ ของท่าน ญาติเองก็ได้รับรู้แนวทางการดูแลของที่นี่ โดยเฉพาะยามที่ท่านมีอาการทรุดลง ตลอดจนถึงการจัดการเมื่อมรณภาพแล้ว
ใช่ว่าเมื่อพูดคุยกันแล้วต้องเป็นเช่นนั้นทั้งหมด เรายังรับฟังเสียงจากพระอาพาธและญาติเป็นระยะๆ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อทุกฝ่าย
เราไม่คิดมาก่อนว่า การพูดคุยนี้จะมีผลเสียอะไร แต่ในที่สุดก็พบกับเรื่องน่าเศร้า อันสืบเนื่องจากการพูดคุยนี้…
ลูกเลี้ยงของหลวงพี่ประพจน์ (นามสมมุติ) เป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามาหาเรา แจ้งความประสงค์ว่าอยากฝากหลวงพ่อซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ระยะแพร่กระจายมาให้ช่วยดูแล ตอนนี้ท่านต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะที่วัดไม่มีผู้ดูแล แม่ได้ไปปลูกกระต๊อบใหม่ไว้ที่นาให้หลวงพ่ออยู่
ถึงวัดนัดหมาย รถกระบะตู้ทึบได้พาหลวงพี่ประพจน์มาส่ง พร้อมกับโยมคนที่ติดต่อมา และแม่ ซึ่งคืออดีตภรรยาผู้ที่คอยดูแลท่าน หลวงพี่อายุเพียง ๔๗ ปี แต่ด้วยการลุกลามของโรค ทำให้ท่านอยู่ในสภาพอ่อนแรง ผอม ที่หน้าท้องมีถุงเก็บอุจจาระติดอยู่ด้วย
หลังจากจัดเตียงดูแลให้หลวงพี่ประพจน์ได้พักผ่อนแล้ว ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้พูดคุยกับญาติก่อนที่จะลากลับ
อดีตภรรยาของท่านมักโยนให้ลูกสาว เป็นผู้ให้ข้อมูล และเริ่มร้องไห้เมื่อเราพูดถึงสถานการณ์ในช่วงใกล้มรณภาพ และยิ่งร้องหนักขึ้นเมื่อพูดถึงแนวทางจัดการศพ จนต้องรวบรัดการสนทนา ให้ญาติไปร่ำลาหลวงพี่ประพจน์ก่อนที่จะพากันเดินทางกลับ
หลวงพี่ท่านได้พักไม่ถึงชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์แจ้งเราว่า อดีตภรรยาของท่านจะนำหลวงพี่กลับไปดูแลต่อเอง
เราพยายามบอกว่าไม่ต้องกังวล เรายินดีดูแลท่านอย่างดี และที่สำคัญหลวงพี่ท่านยืนยันหนักแน่นว่าไม่อยากกลับ แต่ปัญหาคือตัวอดีตภรรยาของท่านไม่รับฟังเหตุผลใดๆ และไม่ยอมคุยโทรศัพท์ด้วย
ในที่สุดคนขับรถบอกว่าขอกลับมา เพราะเธอขู่ว่าถ้าไม่กลับจะกระโดดลงจากรถ
ทางเราไม่ได้มีปัญหาว่าท่านจะอยู่หรือจะกลับ เพียงแต่รู้สึกเห็นใจหลวงพี่ประพจน์ ที่ดูท่านประทับใจบรรยากาศ อยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายอย่างสงบที่สันติภาวัน
เมื่อรถกลับมาถึง อดีตภรรยาของท่านก็ไม่ยอมลงจากรถ ยืนกรานอย่างเดียวว่าจะนำท่านกลับไปด้วย เราชวนให้พัก ช่วยกันดูแลอยู่ที่สันติภาวันก่อนสักระยะค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ก็ไม่เป็นผล
หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเชื่อช้า น่าอึดอัด คนขับรถเริ่มร้อนรน เพราะต้องขับรถขึ้นเขา ฝ่าความมืดอีกเกือบ ๖ ชั่วโมง จึงจะถึงที่หมาย
ในที่สุดเพื่อให้เรื่องจบ หลวงพี่ประพจน์เป็นฝ่ายต้องยอมเก็บของ หอบสังขารอันอิดโรยขึ้นรถเดินทางกลับไป
กลายเป็นว่า การชวนญาติพูดคุยเตรียมความพร้อมเมื่อถึงวาระสุดท้าย ทำให้คนใกล้ชิดที่ยังไม่พร้อมรับสถานการณ์ เกิดภาวะ “กตัญญูเฉียบพลัน” อยากดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังขึ้นมาทันที
ปัญหาจะยิ่งหนักขึ้นเมื่อคนนั้น “เสียงดัง” ที่แม้ผู้ป่วยเองยังต้องยอมจำนน
แม้เรื่องเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก แต่การพูดคุยกับญาติถึงการดูแลจัดการในช่วงท้ายของชีวิต ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น มีประโยชน์ และต้องดำเนินต่อไป
เพียงแต่เราต้องใส่ใจให้มากขึ้น ตั้งแต่ช่วงก่อนรับพระอาพาธเข้ามา ที่นอกจากตัวพระอาพาธจะยินดีมาอยู่แล้ว คนใกล้ชิดที่เสียงดัง ยังต้องยินยอมให้มาด้วย