หลายท่านที่ติดตามเรื่องราวของสันติภาวันมาแต่ต้น คงพอจำได้ว่าหลวงพ่อทอง (นามสมมติ) คือพระอาพาธรูปแรกที่เรารับเข้ามาดูแล ตั้งแต่สันติภาวันยังอยู่ที่วัดป่าสุคะโต ท่านมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยเฉพาะขาทั้ง ๒ ข้าง เดินไม่ได้ มีอาการชักร่วมด้วยเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น ถัดตัวไปหยิบขวดน้ำยกขึ้นฉัน ไปเข้าห้องน้ำ ล้างก้นเองได้ เป็นต้น

ท่านได้มาเปิดบรรยากาศการดูแลพระอาพาธที่สันติภาวันให้เราอย่างอบอุ่น เพราะท่านเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย คุยเก่ง พูดเสียงดัง (แต่ฟังไม่ชัดเพราะอาการของโรคทำให้ออกเสียงลำบาก) รวมทั้งยังมีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมสนุกๆ มาเล่าให้พระที่ดูแลฟังอยู่บ่อยครั้ง

หลวงพ่อขอกลับไปพักที่วัดเดิมในจังหวะที่เรากำลังเตรียมย้ายมาอยู่ที่สอยดาว เพราะลูกชายตกงานต้องการไปอยู่ช่วยดูแลท่านที่วัด ท่านเองก็ดูจะห่วงใยลูกชายอยู่ไม่น้อย แม้ท่านกลับไปวัดแล้วเราก็ยังโทรศัพท์ไถ่ถามข่าวคราวกันอยู่เป็นระยะ รวมทั้งแวะไปเยี่ยมท่านเป็นครั้งคราวด้วย

ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาท่านได้โทรศัพท์มา และถามอย่างไม่อ้อมค้อมว่าอยากมาอยู่ด้วยที่สันติภาวันได้ไหม แน่นอนว่าก่อนจะรับปากท่าน เราได้สอบถามถึงเหตุผลความเป็นมาเป็นไป รวมทั้งได้พูดคุยกับพระผู้ใหญ่ที่ดูแลท่านอยู่ด้วย ทำให้ทราบชัดเจนว่าท่านตั้งใจและอยากมาอยู่กับเราจริงๆ จึงได้ตอบรับและนัดหมายวันเวลาที่จะไปรับท่าน

ห่างกันไปปีกว่า กลับมาคราวนี้ร่างกายของท่านอ่อนโรยลงมาก อยู่ในสภาพติดเตียงเกือบสมบูรณ์ แม้จะยังพอพลิกตัว ยังขยับมือได้แต่จะให้หยิบจับหรือบังคับทิศทางแทบไม่ได้เลย การประคองตัวให้นั่งแต่ละครั้งก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล แค่การหันหน้าไปดูดน้ำจากหลอดก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับท่าน บางวันก็บ่นปวดกระดูกไปทั้งตัว แน่นอนว่าท่านดูแลเรื่องขับถ่ายของตัวเองไม่ได้แล้ว

ท่านเล่าถึงกิจวัตรช่วงอยู่ที่วัดให้ฟังว่า ตอนเช้าลูกจะชงกาแฟมาให้ แล้วก็นั่งหน้าทีวีดูบ้างไม่ดูบ้างไปตลอดทั้งวัน ตกเย็นก็จะต้มโจ๊กใส่ไข่มาป้อนเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่ถ้าลูกหรือพระที่สนิทกันไม่ว่างมาดู ท่านก็จะไม่ได้ฉันอาหารเลยในวันนั้น

ท่านรู้ว่าสภาพร่างกายท่านตอนนี้แย่ลงอย่างรวดเร็ว คงจะอยู่ต่อได้ยากที่วัด ท่านคิดถึงสันติภาวันมาระยะหนึ่งแล้ว เคยบอกลูกสาวแต่เขาไม่อยากให้มา และขอให้ท่านสึกกลับไปอยู่ที่บ้านที่ลำพูนหรือไม่ก็อยู่ที่วัดเดิมต่อไป แต่ท่านไม่คิดจะสึกและรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ที่วัดเดิมเพราะลูกชายดูแลไม่ได้ ท่านมั่นใจว่าสันติภาวันคือสถานที่ที่จะดูแลท่านไปจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตได้

การมั่นใจว่าเราจะมีที่อยู่ มีผู้ดูแลอย่างดีไปจนสิ้นลม ถือเป็นความมั่นคงอย่างหนึ่งที่ทุกคนแสวงหา ยิ่งถ้าสถานที่นั้นมีบรรยากาศที่คุ้นเคย มีกัลยาณมิตรช่วยประคับประคองใจในวาระสุดท้ายให้สงบเย็นได้ด้วย ยิ่งถือว่าเป็นบุญที่จะได้อยู่ที่นั่นก่อนตาย

เราจึงพบรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าที่เบิกบานของหลวงพ่อทองได้ แม้ในร่างกายที่ผอมเกร็งอมโรคของท่าน หลวงพ่อบอกว่าตอนนี้ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ถ้าหมดลมไปก็จัดการศพได้เลย แล้วโทรไปบอกพระอาจารย์ที่วัดกับลูกสาวให้ด้วย

หลวงพ่อทองท่านพร้อมแล้ว ยังเหลือแต่พวกเราได้เตรียมสันติสถานบ้านหลังสุดท้ายที่มั่นคงสงบเย็นกันไว้หรือยัง