หนึ่งในประเด็นที่เราต้องการรู้ตอนทดลองทำสันติภาวันอยู่ที่วัดป่าสุคะโตคือ งานนี้ญาติโยมจะให้การสนับสนุนเพียงใด… หลังเริ่มขับเคลื่อนกิจกรรมและสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กไม่นาน เราก็มั่นใจว่าญาติโยมพร้อมที่จะช่วยเหลือพระที่ดูแลพระอาพาธแน่นอน จนทำให้กล้าที่จะขยับจากวัดป่าสุคะโตอันเป็นแหล่งทรัพยากรและที่มั่นหลักของเรา มาลุยกันไปตามลำพังที่สอยดาว

พลังหนุนของญาติโยมมาถึงเราทั้งในรูปแบบข้อความให้กำลังใจ โทรศัพท์มาสอบถามชื่นชมการทำงาน รวมทั้งส่งปัจจัย และสิ่งของที่คิดว่าเราจำเป็นต้องใช้มาให้ ซึ่งมิใช่เฉพาะวัสดุสิ้นเปลืองอย่าง ผ้าอ้อมสำเร็จ-แผ่นรองซับ ยา หน้ากาก ถุงขยะ ฯลฯ เท่านั้น แม้แต่อุปกรณ์เครื่องมือแพงๆ ทั้งเตียง รถเข็น ถังเก็บน้ำ เครื่องปั่นไฟ หรือรถยนต์ ก็มีโยมติดต่อส่งมาทำบุญช่วยเหลือ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ผ่านการใช้มาแล้ว แต่ยังก็อยู่ในสภาพดีที่เราเต็มใจรับ เพราะช่วยประหยัดทรัพยากรและเป็นบุญกุศลต่อเจ้าของเครื่องใช้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้พระอาพาธสบายขึ้น และผ่อนแรงผู้ดูแลให้ทำงานง่ายขึ้นด้วย อย่างกรณีของหลวงพ่อเฉลิมชัย (นามสมมุติ) ซึ่งมีน้ำหนักกว่า ๑๐๐ กก. ท่านมิใช่เพียงแค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น แต่พุงท่านใหญ่มาก รวมทั้งมีอาการบวมน้ำโดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง ท่านเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะหัวใจขาดเลือด ขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง ลุกนั่งเองบนเตียงไม่ได้ ควบคุมขับถ่ายทั้งหนัก-เบาไม่ได้ แถมด้วยมีแผลกดทับอีกหลายจุด 

เมื่อรับท่านมาเราก็ได้โยมที่ปวารณาตัวไว้ ช่วยจัดหาผ้าอ้อมขนาด XL มาให้ได้ใช้ทันเวลา เตียงเปล และเครื่องยกตัว ที่โยมเคยบริจาคไว้ ก็มีโอกาสได้นำมาใช้กับท่าน ร่างกายที่หมักหมมไม่ได้สรงน้ำมานาน เพราะมีปัญหาในการเคลื่อนย้าย เมื่อมาอยู่สันติภาวันท่านก็ได้สรงน้ำทุกวันเพราะมีอุปกรณ์ดังกล่าวช่วย

อีกท่านหนึ่งคือหลวงพ่อเทพ (นามสมมติ) ที่รูปร่างใหญ่ไม่แพ้กัน (เพียงแต่พุงไม่โตเหมือนหลวงพ่อเฉลิมชัย) แขนขาท่านอ่อนแรงทั้งสองข้าง เนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ/แตกถึง ๒ ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่านถูกส่งตัวมาจากบ้านเพราะหลานที่เป็นผู้ดูแลหลักต้องเข้าผ่าตัด แม้ท่านจะพอขยับมือได้แต่ก็ไม่ค่อยมีแรงและควบคุมทิศทางลำบาก พลิกตัวและลุกนั่งเองบนเตียงไม่ได้ เราก็ได้ให้ท่านนอนเตียงที่ปรับระดับได้หลายทิศทางที่โยมถวายไว้ ช่วยให้ท่านได้บริหารกายและช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น

จากสถานการณ์ที่ยกมาเห็นได้ชัดว่า เรื่องการดูแลพระป่วยที่ว่ายากนั้น หากมีการจัดระบบให้ดีก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในวัด แต่ในทางตรงข้ามการดูแลแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากให้ญาติท่านรับกลับบ้าน ซึ่งเท่ากับยกภาระและความทุกข์อันใหญ่หลวงให้ท่านและครอบครัวไปเผชิญกันตามลำพัง บางครอบครัวถึงกับแตกแยกเพราะคนหนึ่งรับหลวงพ่อกลับมาดูแลที่บ้าน

แรงหนุนจากญาติโยมที่มาถึงสันติภาวัน รวมถึงโรงพยาบาล ตึกสงฆ์ และสถานที่ดูแลพระอาพาธอื่นๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายญาติโยมและชุมชนนั้นพร้อมที่จะทำบุญเกื้อหนุนช่วยเหลือพระอาพาธอยู่แล้ว ที่ยังขาดคือระบบของคณะสงฆ์ วัด และพระที่จะลงมือช่วยดูแลพระอาพาธในวัดตน 

การที่พระอาพาธได้รับการดูแลอยู่ในวัดเดิมของท่าน นอกจากจะเกื้อหนุนพระธรรมวินัยแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ความสามัคคีในหมู่คณะ ช่วยให้พระมั่นคงในพรหมจรรย์เพราะท่านรู้ว่าแม้ยามป่วยหนักก็จักไม่ถูกทอดทิ้ง โยมของวัดที่คุ้นเคยกับพระอาพาธอยู่ก่อนแล้ว ก็มีโอกาสได้ทำบุญกับท่าน เพราะท่านอยู่ในฐานะผู้ป่วยของชุมชน (มิใช่ของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง) ทำให้วัดกับชุมชนผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย

พระที่ช่วยดูแลพระอาพาธก็จะไม่รู้สึกเหมือนถูกโยนภาระให้ เพราะมีทั้งอุปกรณ์ และความช่วยเหลือต่างๆ รวมทั้งกำลังใจจากญาติโยมมาชโลมจิตใจ ไม่ต่างจากที่สันติภาวันกำลังได้รับอยู่ขณะนี้ 

พวกเราทั้งพระและโยมจึงควรช่วยกันคิดหาวิธี ที่จะให้พระอาพาธได้รับการอุปัฏฐากดูแลอยู่ที่วัดท่าน หรืออย่างน้อยก็วัดใหญ่ในตำบลเดียวกัน งานนี้เป็นบุญใหญ่ให้อานิสงส์มาก ทั้งต่อพระอาพาธและครอบครัวของท่าน ต่อพระผู้ดูแล รวมทั้งต่อวัดและพระศาสนาโดยรวม อันนำมาซึ่งความสุข ความอิ่มใจ ที่ให้ผลทันทีโดยไม่มีการผัดผ่อนไปชาติหน้า

แน่นอนว่าบุญใหญ่อานิสงส์มากเช่นนี้ สันติภาวันก็อยากมีส่วนร่วมเช่นกัน หากที่ใด/ท่านใดกำลังทำกิจนี้อยู่ ถ้ามีสิ่งใดที่พวกเราพอช่วยเหลือได้ขอให้บอก ถ้าไม่เหลือวิสัยเราเต็มใจช่วยเสมอ