ลวงพ่อมานิต (นามสมมติ) ท่านมาอยู่กับเราตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน โดยที่ ๖ เดือนก่อนหน้านั้น ท่านเส้นเลือดในสมองตีบส่งผลให้เป็นอัมพาตซีกขวา เดินไม่ได้ และสื่อสารออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่ก็ยังพอใช้ร่างกายซีกซ้ายขยับหยิบจับช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง

ช่วงแรกเราดูแลท่านในฐานะผู้ป่วยติดเตียงธรรมดา พยายามชวนท่านบริหารกายให้กล้ามเนื้อและระบบประสาทฟื้นตัว ด้วยหวังว่าท่านจะทำกิจช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น

ไม่นานนักเราสังเกตพบว่าท่านมีก้อนที่ไหปลาร้าขวา และในที่สุดผลการตรวจชื้นเนื้อก็ได้รับการยืนยันว่าท่านเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง

จากการพยายามสื่อสารและทำความเข้าใจหลวงพ่อเท่าที่เราทำได้ ร่วมกับความเห็นและคำอธิบายของแพทย์ถึงกระบวนการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ในที่สุดก็ได้ความเห็นร่วมกันว่าเราจะให้การดูแลหลวงพ่อแบบประคับประคอง

ปัญหาใหญ่ในการดูแลของเราคือไม่สามารถสื่อสารกับท่านได้ แม้เรื่องทั่วไปจะพอเดาๆ ให้เข้าใจกันได้ แต่ถ้าเรื่องลึกๆ ซึ่งเป็นหัวใจของการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายเราทำแทบไม่ได้เลย เรารู้ว่าหลวงพ่ออยากเล่าเรื่องราวมากมายที่ช่วยให้เราเข้าใจท่านดีขึ้น และจะช่วยให้ท่านผ่อนคลายลง แต่เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดออกมาได้เลย แม้พยายามจะใช้การเขียน การวาดภาพเข้ามาช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่ท่านจะสื่อออกมาได้อยู่ดี

ช่วง ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อาการท่านทรุดลง พบก้อนที่ไหปลาร้าข้างซ้ายเพิ่มขึ้น แขนซ้ายที่พอใช้งานได้ก็บวมขึ้นจนขยับลำบาก นอนราบไม่ได้ แม้เคยเจาะน้ำออกจากปอดแต่ก็ช่วยได้เพียงชั่วคราว ยาขับปัสสาวะที่ฉันประจำก็ดูเหมือนไม่ได้ช่วยนัก ในที่สุดท่านก็อยู่ในสภาพติดเตียงโดยสมบูรณ์ แม้แต่ลงจากเตียงเพื่อนั่งรถเข็นก็เหนื่อยเกินไปสำหรับท่าน

๒-๓ วันมานี้ อาการของท่านดูแย่ลงอีก ฉันอาหารน้อยลง ต้องให้พยุงทุกครั้งที่จะขยับตัว ก้อนน้ำเหลืองที่ขาหนีบก็โตขึ้น ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน ส่งสัญญาณว่าปวดบ่อย และหายใจลำบากยิ่งขึ้น

ตลอดทั้งวันวานที่ผ่านมา ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน ไม่ฉันอาหารเลย และไม่ปัสสาวะด้วย ตกเย็นขณะที่เตรียมจะเช็ดตัวพบว่าท่านหายใจหอบมาก วัดระดับออกซิเจนในเลือดได้เพียง ๘๐ ต้นๆ ร่างกายไม่ค่อยตอบสนอง จึงให้ท่านหายใจจากเครื่องผลิตออกซิเจน ในที่สุดประมาณสองทุ่มเศษท่านก็จากพวกเราไปอย่างสงบ โดยมีเสียงสวดมนต์ที่เราเปิดไว้ตลอดตั้งแต่คืนก่อนคลออยู่เบาๆ

แม้มีอุปสรรคบางด้านที่ทำให้การดูแลหลวงพ่อในช่วงท้ายไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แต่ทั้งท่านและพวกเราต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ท่านได้ใช้ทั้งชีวิตของท่านเป็นครูสอนกรรมฐานให้พวกเราตลอดเวลาที่ลงมือดูแล ส่วนสิ่งที่เราพอจะทำให้ท่านได้อย่างน้อยก็คือ ให้ท่านได้สิ้นลมภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้สำเร็จ

วันนี้พวกเราได้ทำหน้าที่ส่งหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ให้ร่างกายท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนจิตนั้นเราเชื่อว่าหลวงพ่อได้เตรียมของท่านไว้อย่างดีแล้ว

ต้องขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการดูแลหลวงพ่อในทุกๆ ขั้นตอน ซึ่งรวมถึงญาติโยมทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มาให้กำลังใจเรา รวมทั้งให้ความช่วยเหลือหลวงพ่อในสิ่งที่แต่ละท่านพอทำได้

ขออานิสงส์แห่งบุญที่ทุกท่านได้มีส่วนร่วมดูแลหลวงพ่อครั้งนี้ จงเป็นพลังคอยย้ำเตือนเราทุกคนให้ดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า มุ่งพัฒนากายใจอย่างต่อเนื่อง ให้มั่นคงในธรรมและกรรมดีก่อนที่วันสุดท้ายของเราเองจะมาถึง

ช่วงแรกเราดูแลท่านในฐานะผู้ป่วยติดเตียงธรรมดา พยายามชวนท่านบริหารกายให้กล้ามเนื้อและระบบประสาทฟื้นตัว ด้วยหวังว่าท่านจะทำกิจช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น

ไม่นานนักเราสังเกตพบว่าท่านมีก้อนที่ไหปลาร้าขวา และในที่สุดผลการตรวจชื้นเนื้อก็ได้รับการยืนยันว่าท่านเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง

จากการพยายามสื่อสารและทำความเข้าใจหลวงพ่อเท่าที่เราทำได้ ร่วมกับความเห็นและคำอธิบายของแพทย์ถึงกระบวนการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ในที่สุดก็ได้ความเห็นร่วมกันว่าเราจะให้การดูแลหลวงพ่อแบบประคับประคอง

ปัญหาใหญ่ในการดูแลของเราคือไม่สามารถสื่อสารกับท่านได้ แม้เรื่องทั่วไปจะพอเดาๆ ให้เข้าใจกันได้ แต่ถ้าเรื่องลึกๆ ซึ่งเป็นหัวใจของการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายเราทำแทบไม่ได้เลย เรารู้ว่าหลวงพ่ออยากเล่าเรื่องราวมากมายที่ช่วยให้เราเข้าใจท่านดีขึ้น และจะช่วยให้ท่านผ่อนคลายลง แต่เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดออกมาได้เลย แม้พยายามจะใช้การเขียน การวาดภาพเข้ามาช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่ท่านจะสื่อออกมาได้อยู่ดี

ช่วง ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อาการท่านทรุดลง พบก้อนที่ไหปลาร้าข้างซ้ายเพิ่มขึ้น แขนซ้ายที่พอใช้งานได้ก็บวมขึ้นจนขยับลำบาก นอนราบไม่ได้ แม้เคยเจาะน้ำออกจากปอดแต่ก็ช่วยได้เพียงชั่วคราว ยาขับปัสสาวะที่ฉันประจำก็ดูเหมือนไม่ได้ช่วยนัก ในที่สุดท่านก็อยู่ในสภาพติดเตียงโดยสมบูรณ์ แม้แต่ลงจากเตียงเพื่อนั่งรถเข็นก็เหนื่อยเกินไปสำหรับท่าน

๒-๓ วันมานี้ อาการของท่านดูแย่ลงอีก ฉันอาหารน้อยลง ต้องให้พยุงทุกครั้งที่จะขยับตัว ก้อนน้ำเหลืองที่ขาหนีบก็โตขึ้น ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน ส่งสัญญาณว่าปวดบ่อย และหายใจลำบากยิ่งขึ้น

ตลอดทั้งวันวานที่ผ่านมา ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน ไม่ฉันอาหารเลย และไม่ปัสสาวะด้วย ตกเย็นขณะที่เตรียมจะเช็ดตัวพบว่าท่านหายใจหอบมาก วัดระดับออกซิเจนในเลือดได้เพียง ๘๐ ต้นๆ ร่างกายไม่ค่อยตอบสนอง จึงให้ท่านหายใจจากเครื่องผลิตออกซิเจน ในที่สุดประมาณสองทุ่มเศษท่านก็จากพวกเราไปอย่างสงบ โดยมีเสียงสวดมนต์ที่เราเปิดไว้ตลอดตั้งแต่คืนก่อนคลออยู่เบาๆ

แม้มีอุปสรรคบางด้านที่ทำให้การดูแลหลวงพ่อในช่วงท้ายไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แต่ทั้งท่านและพวกเราต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ท่านได้ใช้ทั้งชีวิตของท่านเป็นครูสอนกรรมฐานให้พวกเราตลอดเวลาที่ลงมือดูแล ส่วนสิ่งที่เราพอจะทำให้ท่านได้อย่างน้อยก็คือ ให้ท่านได้สิ้นลมภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้สำเร็จ

วันนี้พวกเราได้ทำหน้าที่ส่งหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ให้ร่างกายท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนจิตนั้นเราเชื่อว่าหลวงพ่อได้เตรียมของท่านไว้อย่างดีแล้ว

ต้องขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการดูแลหลวงพ่อในทุกๆ ขั้นตอน ซึ่งรวมถึงญาติโยมทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มาให้กำลังใจเรา รวมทั้งให้ความช่วยเหลือหลวงพ่อในสิ่งที่แต่ละท่านพอทำได้

ขออานิสงส์แห่งบุญที่ทุกท่านได้มีส่วนร่วมดูแลหลวงพ่อครั้งนี้ จงเป็นพลังคอยย้ำเตือนเราทุกคนให้ดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า มุ่งพัฒนากายใจอย่างต่อเนื่อง ให้มั่นคงในธรรมและกรรมดีก่อนที่วันสุดท้ายของเราเองจะมาถึง