แม้สันติภาวันจะขึ้นป้ายว่าเป็นที่พำนักพระอาพาธระยะท้าย แต่ก็ได้รับการติดต่อมาทั้งจากที่บ้าน วัด และโรงพยาบาลอยู่เสมอว่า ต้องการส่งพระอาพาธที่ไม่ใช่ระยะท้ายแต่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาให้ดูแล ซึ่งมีทั้งผิดปกติทางจิต เป็นอัลไซเมอร์ และมากที่สุดคือเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกจนเป็นอัมพาต ทำให้เรามีข้อตกลงกันในทีมงานว่าจะรับรายที่มีความจำเป็นจริงๆ มาดูแลไม่เกิน ๓ เตียง อีก ๓ เตียงที่เหลือ จะสำรองไว้เพื่อพระอาพาธระยะท้ายโดยเฉพาะ

สำหรับท่านที่เรารับเข้ามาดูแลไม่ได้ นอกเหนือการให้กำลังใจ ให้คำแนะนำในการดูแล และการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว บางส่วนเราก็จัดส่งสิ่งของที่จำเป็นไปบรรเทาความเดือดร้อนของญาติที่ต้องดูแลท่านอย่างต่อเนื่อง (แม้บางรูปท่านจะยังพักอยู่ที่วัด แต่ญาติมักเป็นผู้ดูแลหลัก)

แต่ที่น่าสนใจคือ มีพระบางรูปที่เราเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนให้มาอยู่ที่สันติภาวันด้วยกัน ญาติเองก็ปรารถนาเช่นนั้นเพราะดูแลไม่ไหว อาจด้วยวัยที่มากขึ้น หน้าที่การงาน ค่าใช้จ่าย สภาพที่พัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ แต่พระกลับไม่ต้องการมาอยู่ บางรูปถึงขั้นร้องไห้ หรือเอ่ยปากว่าญาติใจร้ายจะนำท่านไปทิ้งก็มี

บางท่านอาจด่วนตัดสินพระรูปนั้นว่า คงไม่ค่อยได้ศึกษาและปฏิบัตินักจึงยังตัดญาติพี่น้องได้ แม้อาจมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ในอีกด้านหนึ่งคงต้องตระหนักถึงสภาพจิตใจอันบอบบางของผู้ป่วยเฉียบพลันที่ไม่เว้นแม้กระทั่งพระ เพราะเพียงชั่วข้ามคืนจากคนที่เคยแข็งแรงทำงานได้กลับต้องกลายเป็นผู้พิการติดเตียงจากอุบัติเหตุหรือเส้นเลือดในสมองแตก ท่านย่อมตกใจ หวั่นไหว และกังวลกับชีวิตในอนาคตว่าจะอยู่อย่างไรเป็นธรรมดา

ยิ่งเมื่อรู้ว่าวัดที่ตนเคยอยู่ช่วยงานมาตลอดนั้น ปฏิเสธที่จะรับกลับไปเพราะไม่มีใครดูแล ท่านคงต้องผิดหวัง เสียใจเพิ่มขึ้น และหากญาติซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของท่านมาปฏิเสธการดูแลอีก โดยจะส่งไปไกล ให้อยู่ในที่ที่ไม่รู้จักใคร ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เช่นนี้แล้ว ถึงแม้บวชมานานก็ย่อมรู้สึกเคว้งคว้างหวั่นไหวเป็นธรรมดา

เมื่อพิจารณาในมุมนี้เราจะเห็นได้ว่า สถานที่ดูแลพระอาพาธแบบสันติภาวัน แม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พระอาพาธที่ขาดผู้ดูแลได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดี ที่ตรงกับความต้องการของพระอาพาธนัก เพราะสถานที่ที่ท่านต้องการกลับไปพำนักมากที่สุดคือวัดที่ท่านเคยอยู่ ซึ่งไม่ต่างจากคนไข้จำนวนมากที่อยากกลับไปพักฟื้นที่บ้าน หรือสิ้นลมบนเตียงนอนของตน

พระอาพาธย่อมรู้ดีว่าที่วัดมิได้สะดวก ไม่พร้อมเหมือนที่โรงพยาบาล แถมยังเป็นภาระใหญ่ให้กับพระที่ดูแลอีกด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพแวดล้อม บรรยากาศ กลิ่นธูป เสียงสวดมนต์ รวมทั้งพระโยมที่คุ้นเคย ย่อมสร้างความมั่นคงสบายใจให้กับท่านได้มากกว่าการไปอยู่ต่างถิ่นแน่นอน

ทุกวันนี้สังคมเห็นภาพพระ/วัดตื่นตัวมาก ในการช่วยเหลือญาติโยมที่เดือดร้อนประสบภัยจากน้ำท่วม ไฟไหม้ โรคระบาด หรือแม้แต่สงเคราะห์ผู้ป่วยติดเตียงในบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนา แต่ภาพความใส่ใจดูแลพระอาพาธในวัดของตนกลับไม่เคยปรากฏบนสื่อเลย

การฟื้นฟูบรรยากาศแห่งความเกื้อกูลกันของหมู่สงฆ์ยามชรา/อาพาธ จึงเป็นประเด็นที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน ก่อนที่จะไม่มีใครกล้าปักใจบวชอุทิศเพื่อพระศาสนา การดูแลอยู่ที่วัดถึงแม้จะมีข้อจำกัดและมีภาระเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ และมีภาระน้อยกว่าเมื่อครอบครัวต้องรับไปดูแลตามลำพังมากนัก บางครอบครัวถึงขั้นแตกสลายเพราะฝ่ายชายรับหลวงพ่อมาดูแล บ้างลูกหลานต้องขาดเรียนหรือออกจากงานมาช่วย ในชณะที่ค่าช้จ่ายในบ้านก็เพิ่มสูงขึ้น

อย่าปล่อยให้พระต้องถูกผลักกลับไปเป็นภาระของทางบ้านอีกเลย เรื่องนี้สำคัญที่พระทุกวัดควรต้องเตรียมความพร้อมไว้ เพราะไม่มีใครมั่นใจได้ว่าพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าตนอาจเป็นพระอาพาธติดเตียงที่ต้องมีคนดูแลตลอดไปก็ได้ แม้ทำแล้วจะมีจุดติดขัด ท่านยังไม่ค่อยได้รับความสะดวก แต่เชื่อเถิดว่าท่านจะรู้สึกดีกว่าสบายใจกว่าถูกส่งไปอยู่ที่อื่นมากนัก

หากทำแล้วมีข้อติดขัด ต้องการความช่วยเหลือในจุดใดขอให้บอกกัน สันติภาวันเราพร้อมที่จะเข้าไปช่วยอีกแรง