นับถึงวันนี้ก็ครึ่งเดือนพอดีที่หลวงพ่อทองได้มาพักอยู่กับพวกเรา ทำให้บรรยากาศของสันติภาวันดูคึกคักขึ้นกว่าเดิมมาก มีพระที่วัดทั้งเก่าและใหม่เข้ามาเยี่ยมมาช่วยอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อ รวมทั้งแม่ชี ญาติโยมที่ทราบก็แวะเวียนเข้ามาพูดคุยกับหลวงพ่อเป็นครั้งคราว

แม้การดูแลท่านจะเป็นไปอย่างราบรื่น ท่านเองก็ออกปากชื่นชมพระที่มาช่วยดูแลท่านอยู่เป็นระยะ แต่เรารู้ดีว่าท่านยังมีเรื่องกังวลใน ไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง ที่ได้แอบเห็นคราบน้ำตาของท่านโดยเฉพาะในช่วงค่ำๆ ที่พวกเราไปทำวัตรกันหมด ปล่อยให้ท่านนอนพักอยู่รูปเดียวในห้อง เราไม่ได้ถามตรงๆ หรอกว่าหลวงพ่อร้องไห้ทำไม แต่จากเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านพูดคุยกับพระและเล่าให้ผู้ที่มาเยี่ยมฟังเราสรุปได้ว่า ท่านอยากกลับวัด

ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่า ท่านเอ่ยปากอยากกลับวัดตั้งแต่คืนแรกที่มาอยู่ที่นี่ เมื่อรู้ว่าโยมที่มาส่งจะไปธุระต่อที่อื่น แล้วจะไม่แวะกลับมาที่สันติภาวันอีก หลังจากต่อรองให้ท่าน ทดลองอยู่ไปก่อน อีกทั้งท่านได้โทรคุยกับพระและโยมที่วัดเดิม ทางนั้นก็ย้ำว่าช่วงนี้ที่วัดยุ่งอยู่กับการเตรียมงานกฐิน ไม่มีรถว่างมารับ และไม่มีคนที่จะสะดวกดูแลท่าน ในที่สุดท่านก็ยอมอยู่กับเราต่อ

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งพระและโยมโทรศัพท์มาคุยกับท่านประปรายหรือท่านเป็นฝ่ายโทรไปหาบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยากให้ท่านอยู่ที่สันติภาวันต่อไป ความรู้สึกอยากกลับวัดปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อลูกสาวโทรมาหาท่านเมื่อ ๕ วันก่อน โดยบอกว่าอยากให้หลวงพ่อกลับไปอยู่ที่วัดเดิมเพราะเดินทางโดยรถไฟมาเยี่ยมได้ง่ายกว่า

วันนั้นท่านบอกกับพระที่ดูแลว่าท่านจะกลับลพบุรีวันนี้เลย รวมทั้งพยายามๆ โทรหาคนที่วัดให้หารถมารับท่าน แต่คำตอบจากทางวัดก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ช่วงนี้ทุกคนกำลังยุ่ง ไม่มีใครว่างมารับ และแม่ของพระที่เคยช่วยป้อนข้าวท่านอยู่ทุกวันนั้นก็ป่วยหนักไม่ได้อยู่วัดหลายวันแล้ว ช่วงนี้เองที่เราแอบเห็นคราบน้ำตาของท่านตอนโพล้เพล้ที่ท่านต้องนอนอยู่รูปเดียว

ในคืนนั้นจึงมีโอกาสได้คุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง สอบถามว่าพระที่ดูแลหลวงพ่อที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง หลวงพ่อรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจเรื่องใดบ้างหรือเปล่า ท่านก็ตอบเหมือนเคยว่าไม่มีปัญหาอะไร ที่นี่ดูแลช่วยเหลือท่านดีมาก วันนั้นเราบอกหลวงพ่อชัดเจนว่าถ้าหลวงพ่ออยากกลับ เรายินดีให้คนมารับหรือหารถส่งหลวงพ่อกลับได้ตลอด เพียงแต่อยากให้หลวงพ่อพิจารณาดีๆ ว่า ถ้ากลับไปที่วัดแล้วหลวงพ่อจะอยู่อย่างไร

ถามท่านว่าถ้ากลับไปคิดว่าใครจะช่วยดูแลหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็ให้คำตอบโดยแทบจะไม่ต้องใช้เวลาใคร่ครวญเลยว่า “ไม่มี” ยิ่งถ้าพระที่เคยดูแลท่านประจำไม่อยู่ ไปดูแลโยมแม่ที่ป่วย ก็จะยิ่งไม่มีใครช่วยเหลือท่านเลย ส่วนลูกสาวที่ผ่านๆ มาก็มาเยี่ยมท่านปีละครั้งในช่วงสงกรานต์ การอยู่ที่สันติภาวันต่อไปจึงดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับท่าน

แม้ ๒-๓ วันที่ผ่านมานี้ ท่านจึงไม่ได้พูถึงเรื่องอยากกลับลพบุรีอีกเลย แต่เราก็รู้ว่าในใจลึกๆ ท่านก็ยังรอคอยที่จะกลับไปอยู่วัดเดิม มีเปรยๆ ขึ้นมาบ้างว่าอีกตั้งนานกว่าจะถึงวันที่ ๑๐ (พฤศจิกายน) ที่วัดท่านจะรับกฐินเรียบร้อย และไม่รู้ว่าถึงวันนั้นแม่ของพระเพื่อนท่านจะดีขึ้น จนท่านพอจะกลับมาอยู่วัดช่วยดูแลท่านอีกครั้งหรือยัง

ความปรารถนาสุดท้ายที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยที่สิ้นหวังอย่างหนึ่ง คือการได้กลับไปที่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่และบรรยากาศที่เขาคุ้นเคย ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ ผู้คน และสิ่งของที่เขารัก ซึ่งอาจเป็นบ้านที่อยู่มานาน ข้าวของเครื่องใช้ที่มีเรื่องราวเบื้องหลังการได้มาบันทึกอยู่แทบทุกชิ้น รวมทั้งต้นไม้และสัตว์เลี้ยงที่ผูกพันกันมา แม้รู้ดีว่าที่นั่นอาจไม่สะดวกสบาย ไกลมือหมอ และไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิตยามคับขันเหมือนที่โรงพยาบาลก็ตาม

พระก็เช่นกันเมื่อถึงจุดที่สิ้นหวังในการรักษา ท่านมักยากกลับวัด ไปยังกุฏิที่ท่านคุ้นเคย แม้รู้ว่าตนเองจะต้องลำบากขึ้น สถานที่ดูแลพระอาพาธระยะท้ายที่รับพระจากที่ต่างๆ มาดูแลแบบสันติภาวันทำอยู่นี้ จึงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะถึงแม้จะอยู่ในบรรยากาศของวัด มีพระเป็นผู้ดูแลอย่างดี แต่ก็ยังมิใช่พื้นที่ที่แต่ละท่านคุ้นเคย

หากทุกวัดสามารถรองรับพระอาพาธของตนมาดูแลเองได้ นั่นคือภาพที่งดงามที่สุด แต่ถ้าเป็นไปได้ยาก อย่างน้อยในแต่ละตำบลหรืออำเภอควรจะมีวัดที่พร้อมทำหน้าที่นี้อยู่ การได้รักษาตัวอยู่ในวัดที่ไม่ห่างไกลวัดเดิมมากนัก ญาติโยมและพระที่คุ้นเคยก็ยังพอมาเยี่ยมมาให้เห็นหน้ากันได้ไม่ยาก นี่ยังไม่รวมถึงอาหารของขบฉัน ภาษาและวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ในพื้นที่ ที่ท่านย่อมคุ้นเคย ทำให้อยู่ได้อย่างผ่อนคลายมากกว่า ดังนั้นวัดใดที่มีพระอาพาธระยะท้ายอยู่ หากประสงค์จะขอคำปรึกษาเรื่องการดูแล หรือให้ทีมงานสันติภาวันไปช่วยจัดระบบ ให้คำแนะนำพื้นฐานในการดูแล เราขอปวารณาตัวเข้าช่วยเหลือ โดยถือว่านี้ก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของพวกเรา ที่ยินดีทำเพื่อพระอาพาธและหมู่สงฆ์