พระอาพาธที่จะเข้ามาพำนักที่สันติภาวันนั้น ตัวท่านหรือญาติต้องติดต่อเข้ามาก่อน เพื่อให้ข้อมูลอาการอาพาธ เราจะได้พิจารณาว่ามีความสามารถดูแลท่านได้หรือไม่ และท่านมีความจำเป็นต้องรับการช่วยเหลือเพียงใด
เกณฑ์เบื้องต้นในการรับของเรานั้น มีอยู่ ๔ ข้อ คือ ๑) ท่านต้องอาพาธอยู่ในระยะท้าย มีโรคที่จะนำสู่การมรณภาพได้ในเวลาไม่เกิน ๑ ปี, ๒) อาการต้องไม่เกินความสามารถในการดูแลของเรา, ๓) ท่านต้องวางใจพอแล้วกับการวิ่งหาหนทางรักษาให้หาย เพราะเราไม่มีกำลังพอที่จะพาท่านไปแสวงหาวิธีรักษาดีๆ ได้ และ ๔) ท่านต้องยินดีที่จะอยู่กับเรา
ที่ผ่านมามีเพียงรูปเดียวที่เข้ามาโดยมิได้นัดหมาย แม้ท่านจะเคยโทรมาคุยอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงรับท่านเข้ามาดูแล คืนหนึ่งตอนสองทุ่มกว่า ท่านโทรแจ้งว่ารถใกล้ถึงแล้วช่วยออกไปรับด้วย
แต่สถิตินี้ก็ถูกทำลายลงด้วยหลวงพี่สุรัตน์ (นามสมมติ) พระอาพาธรูปล่าสุดของเรา เพราะท่านเหมาตุ๊กๆ เข้ามาถึงที่ พร้อมทั้งย่ามและเป้โดยมิได้ติดต่อกันมาก่อนเลย พร้อมกับบอกว่า “ผมจะมาขอพักด้วยครับ”
สอบถามเบื้องต้นทราบว่า ท่านเป็นเบาหวานเพิ่งตัดนิ้วเท้าออกไป ๓ นิ้ว เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อออกจากโรงพยาบาล รู้ว่าอยู่ที่วัดไม่ได้แน่เพราะไม่มีใครช่วยเหลือ เลยไปขออาศัยอยู่บ้านญาติที่นครนายก แต่ไม่นานก็อึดอัดรู้สึกว่าเป็นภาระให้เขา พอพบข้อมูลสันติภาวัน ก็ตัดสินใจเดินทางมาทันที
เราได้แจ้งท่านว่า อาการอาพาธของท่านยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เราจะรับเข้ามาดูแล แต่ไหนๆ เดินทางมาถึงแล้ว ก็พักอยู่ก่อน เมื่อแข็งแรงดี มีวัดเป้าหมายที่จะไป ค่อยออกเดินทางต่อ
สภาพโดยรวมแล้วท่านยังดูแลทำกิจวัตรส่วนตัวได้ จัดยาฉันเอง ล้างแผลเอง แม้จะเดินกะเผลกบ้าง แต่ไม่ถึงกับต้องใช้ไม้เท้า ท่านเองก็ดูเกรงใจพยายามจะไม่รบกวนพวกเรามาก
หลังจากคุ้นเคยกันมากขึ้น จึงได้ขอเข้าไปดูแผลและวิธีล้างแผลของท่าน พบว่าตำแหน่งของแผลโดยเฉพาะแผลที่สนเท้า ท่านล้างแผลไม่สะดวกนัก ส่วนแผลนิ้วที่ถูกตัดด้านนอกดูเหมือนแห้ง มีเนื้อตายสีดำปิดอยู่ทั้งหมด แต่ที่น่ากังวลคือมีกลิ่นเน่า และมีเลือดซึมทิ้งรอยไว้ที่พื้นเวลาท่านเดิน
หลังจากปรึกษากับคุณหมอที่ปวารณาให้ความช่วยเหลือเราไว้ ประกอบกับยาเบาหวานของท่านก็ใกล้จะหมด รุ่งขึ้นเราจึงพาท่านไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาเพิ่ม ล้างแผล เลาะเนื้อตายออก หมอยังนัดให้ไปล้างแผลทุกวันด้วย
ระหว่างนี้ได้ยินเสียงท่านคุยโทรศัพท์พยายามติดต่อหาวัดพัก แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ในที่สุดท่านก็มาบอกว่าพรุ่งนี้ จะเดินทางไปพักที่วัดอีกแห่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ยังไม่ได้ติดต่อไปที่วัดนั้น ท่านว่าถ้าเขาไม่ให้อยู่ก็จะไปที่อื่นต่อ
ท่านบอกว่ารู้สึกเกรงใจเรา เพราะเพิ่งทราบว่าไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะรับดูแล แถมยังมีภาระต้องรับส่งไปล้างแผลทุกวัน
เพื่อให้ท่านสบายใจขึ้น เราจึงบอกท่านว่าแผลที่เท้าดูยังน่าห่วง ถ้าดูแลไม่ดีอาจได้ต้องตัดขึ้นไปถึงข้อเท้า หรือใต้เข่า พักรักษาแผลให้ดีขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยเดินทางต่อก็ได้
ท่านเล่าว่า ๑๒ ปี ที่บวชมาท่านไม่ค่อยได้อยู่ที่ไหนนาน ไปจำพรรษามาหลายที่ และได้เห็นกับตาหลายครั้งว่าพระอาพาธที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และไม่ต้องการสึก จะอยู่อย่างลำบากมาก ไม่มีคนดูแล อาหารบิณฑบาตอาจพอมีพระมาแบ่งให้ฉัน แต่จะให้ดูแลมากกว่านั้นอย่างต่อเนื่องเป็นไปไม่ได้เลย
ท่านว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ที่วัดจะไม่รับท่าน ท่านก็แค่ทำใจ เตรียมใจ หาวัดใหม่ต่อไป อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เราต่อรองไม่ได้
ฟังแล้วช่างเป็นข้อสรุปที่หดหู่ใจมาก แต่พวกเราที่นี่ยังเชื่อว่ามีวัดอีกไม่น้อยที่พร้อมจะเกื้อกูลพระอาพาธ
ไม่น่าเชื่อที่จะต้องพูดว่า ถึงเวลาที่พวกเราต้องช่วยกัน “ทำให้วัดกลับมาเป็นที่พำนักของพระในทุกระยะของชีวิต”
ไม่น่าเชื่อที่จะต้องพูดว่า ถึงเวลาที่พวกเราต้องทำให้วัดกลับมาเป็นที่พำนักของพระได้ในทุกระยะของชีวิต